วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 8/34 (1)


พระอาจารย์
8/34 (add550520B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
20 พฤษภาคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นการภาวนานี่เป็นการต่อสู้กับตัวเอง ต่อสู้กับตัวเรา ...ฝืน ต้องฝืน  ไม่สบายหรอก แต่มันก็ไม่ยากจนเกินไปในการฝืน

เพราะไม่ได้ฝืนให้ไปทำผิดศีลธรรม หรือว่าฝืนให้มันเอาหัวเดินต่างตีน หรือว่าฝืนทำในสิ่งที่มนุษย์ในโลกเขาทำกันไม่ได้แล้วต้องไปทำอย่างนั้น...ไม่ใช่

ฝืนใจเจ้าของ ฝืนจิตเรานั่นแหละ ฝืนที่จะให้กลับมารู้อยู่เห็นอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ ด้วยสติ ฝึก อบรมมากๆ ให้เห็นคุณค่า

เพราะนั้นตัวที่จะเป็นตัวยึด หรือตัวโยง ให้อยู่ในปัจจุบันได้ง่ายและชัดที่สุดคือกาย ...จะไปอยู่กับแบบว่าเสียงปัจจุบันที่เราพูดอย่างนี้ หรือว่ารูปที่เห็นผ่านไปผ่านมาเป็นปัจจุบันนี่...อยู่ได้ไม่นานหรอก

เสร็จมัน...ไหล หลง เพลิน ลืมไปเลย ...เพราะนั้นมีแต่ตัวเจ้าของเองนี่แหละ ตัวกายตัวนี้แหละ ที่มันเป็นหลัก ที่มันมีอยู่ตลอดเวลา ดูตรงไหนก็เห็น หยั่งลงตรงไหนก็เจอ

ไม่ต้องไปค้น ไม่ต้องไปสร้างขึ้นมาใหม่ มีอยู่ตลอดเวลา จนตายน่ะ เพราะนั้น เอากายนี้เป็นหลัก ต้องเอากายนี้เป็นหลัก ต้องมีการรู้ตัวนี้เป็นหลัก รู้อยู่กับตัวนี้เป็นหลักเบื้องต้นก่อน

จับหลักให้มั่น จับหลักให้แน่น ถือว่าเป็นหลักกาย ถือว่าเป็นหลักของปัจจุบัน ...แล้วไม่ต้องถามหาอะไรหรอก ทำตรงนี้ให้ได้...มากๆ สม่ำเสมอ

อย่ามัวแต่หลงคิดหลงเพลิน อย่ามัวแต่คิดหาวิธีการ อย่ามัวแต่คิดว่าอันไหนดีกว่ากัน ...เสียเวลา ไม่มีประโยชน์ กลับมารู้ตัวตรงนี้เลย แล้วก็ละความคิดต่างๆ นานาออกไป

ละไม่ได้ก็ช่างหัวมัน คือไม่ไปอยู่ในความคิด ...มันจะไม่ดับก็ไม่ดับ แต่ไม่ไปสนใจความคิด แล้วก็ไม่ไปคิดต่อกับมัน กลับมารู้เนื้อรู้ตัว

รู้อยู่ที่อาการนั่งนอนยืนเดิน รู้อยู่ที่อาการเย็นร้อนอ่อนแข็ง รู้อยู่ที่อาการตึง แน่น ไหว ขยับ ธรรมดานี่...ซึ่งมันเป็นอาการธรรมดาของกาย...มีทุกคน

(ถามคนที่มา) เป็นคริสต์ใช่ไหม คริสต์มีกายมั้ย (ตอบ - มี) ...มี นับถือคริสต์ก็มีกายใช่มั้ย มีกายอยู่น่ะโดนลมพัดเย็นมั้ย ต้องเย็นใช่ไหม กายเราล่ะโดนลมเย็นมั้ย

โยม –  เย็น


พระอาจารย์ –  กายอาตมาโดนลมก็เย็น ...ไหนพุทธ ไหนคริสต์

โยม –  ไม่มีค่ะ


พระอาจารย์ –  เออ ก็บอกแล้วว่า ตัวธรรมะนี่ไม่ได้แบ่งแยกเลย ...มีแต่ตัวความเห็นของคนนั้นเองที่เข้าไปแบ่ง มีแต่ความเชื่อแล้วก็จิตนั่นแหละที่เข้าไปขัดขวางการหยั่งลงไปในธรรม

โดยธรรมนี้ โดยธรรมชาตินี้ไม่ได้แบ่งสันปันส่วนเลยว่า นี้เป็นของใคร หรือธรรมนี้เป็นของพระพุทธเจ้า ธรรมนี้เป็นของชาวพุทธนะ ธรรมนี้ต้องเฉพาะพุทธศาสนิกชนนะ

ธรรมะคือธรรมะ ธรรมชาติคือธรรมชาติ ธรรมดาคือธรรมดา ไม่เคยแบ่งว่านี้เป็นของใคร ไม่ใช่ธรรมของเรา ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า

แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำทางให้เห็นว่า ปฏิบัติตัวอย่างไร กายวาจาใจอย่างไร จิตอย่างไร จึงจะเข้าไปเห็นธรรมชาติ แล้วยอมรับธรรมชาติจนถึงที่สุดต่างหาก

เพราะธรรมชาตินี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของชาวพุทธ แล้วก็ไม่ใช่ของคริสต์ ไม่ใช่ของใคร ...เป็นกลาง เป็นสาธารณธรรม

อย่าแอบอ้างว่าธรรมนี้เป็นของเรา ว่าธรรมนี้เป็นของเขา จำเพาะพุทธเท่านั้น จำเพาะคริสต์เท่านั้น นี่ ฝรั่งยังมาเลยนี่ (หัวเราะ) นึกว่ากลับไปแล้ว (ถามฝรั่ง) Go home tomorrow (Yes)

จิตน่ะมันดื้อ ...เราไม่ได้โทษใครหรอก เราไม่ได้โทษความผิดของมนุษย์หรอก เราโทษความไม่รู้ของจิต 

แล้วพวกเราก็สนับสนุนความไม่รู้ของจิตมากขึ้น แล้วก็ให้ค่าให้ความสำคัญกับจิตที่ปรุงแต่งมาก จนละเลยความเป็นจริงของธรรมชาติที่เขาแสดง

เอาง่ายๆ นั่ง แค่รู้ว่านั่งนี่...ในความรู้สึกว่านั่งนี่ มันเป็นอะไรนั่ง นั่งนี้เป็นใคร ...มันบอกมั้ย มันบอกมั้ยมันเป็นอะไร


โยม –  ไม่ได้บอก

พระอาจารย์ –  เออ นั่นแหละกายตามความเป็นจริง ...เป็นชายมั้ย เป็นหญิงมั้ย


โยม –  ไม่ได้บอก

พระอาจารย์ –  สวยมั้ย ไม่สวยมั้ย


โยม –  ไม่ได้บอก

พระอาจารย์ –  เออ เห็นมั้ย มันยากมั้ยนี่ การที่กลับมารู้กายตามความเป็นจริงนี่ ...มันไม่ใช่ว่าต้องไปอยู่ในถ้ำในป่าในเหวนะ หรือต้องลาออกจากงาน ลาออกจากสังคม

หรือลาออกจากความเป็นลูก ลาออกจากการเป็นเป็นผัวเป็นเมีย แล้วมาอยู่คนเดียวแล้วจึงจะเห็น ...ตรงนี้ยังเห็นได้เลย ว่ากายจริงๆ คืออะไร ...แล้วมันบอกมั้ย มันเป็นเรา ...ไม่บอก

แต่มีตัวหนึ่งที่ ฮึดๆ จะบอกอยู่ ...คือจิต ที่มันบอกว่า เนี่ย เรากำลังนั่ง ...เอ้า แต่ถ้าดูกลับไปที่ตัวที่นั่งเฉยๆ นี่  ตัวที่เป็นก้อนนี่ มันพูดมั้ย


โยม –  ไม่ได้พูด

พระอาจารย์ –  แน่ะ อันไหนจริงกว่ากัน ...อันนี้ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้านะก็จะบอกว่าไอ้ตัวที่นั่งเฉยๆ นี่จริงที่สุด ...แต่ไอ้ตัวเราตอนนี้ยังบอก “ครึ่งๆ ว่ะ”  มันจะรู้สึกว่า...เอ๊ มันยังเป็นของเราอยู่

แล้วจะมีเปอร์เซ็นต์เชื่อกับตรงนี้อยู่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ว่ายังเป็นของเราอยู่ นี่ยังคือจิตไม่รู้ที่มันยังครอบงำอยู่ ครอบงำความเป็นจริง หรือครอบงำหรือปิดบังธรรม ที่เขากำลังแสดงอยู่ เป็นปกติวิสัย

เพราะนั้นการปฏิบัติก็คือการมาย้ำๆๆ รู้  ย้ำรู้ย้ำเห็น ในอาการที่เขาแสดงโดยปกติวิสัยนี้ ...จนจิตที่ไม่รู้นี่ จนจิตที่มันเข้าไปให้ค่าให้ความหมายให้ความเห็นนี่ มันยอม

เพราะมันไม่สามารถจะลบล้างความเป็นจริงนี้ได้ ...ดูกี่ทีๆ อยู่ในอาการไหนก็ตาม มันก็เป็นแค่ก้อนหนึ่งกองหนึ่ง ถ้าให้เราบอก เราก็บอกว่า นี่ กูนั่งดูนั่งถามมันมาเป็นสามสิบปีแล้ว

มันไม่ตอบกูสักคำเลย ว่ามันเป็นของกู ...นี่ จิตมันจะเอาอะไรมาเถียง ไอ้จิตไม่รู้มันจะเอาอะไรมาเถียงกับความเป็นจริงที่ไม่สามารถจะมีอะไรไปบิดเบือนธรรมได้ ...มันต้องยอม

แต่ตอนนี้พวกเราน่ะยอมมัน ใช่มั้ย ...ขี้เกียจ ไม่ซ้ำซากในการดูลงไป รู้ลงไป เห็นลงไป ...ทั้งๆ ที่ว่ามันก็มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา มีมาตั้งแต่เกิด...ความปกติธรรมดาของกาย

ภาษาอังกฤษก็เรียกว่ามันเป็น common…common  กาย common ด้วยนะ ...ไม่ต้องไป comment นะ ไม่ต้องไปลึกซึ้งกว่านี้ ไม่ต้องไปเห็นกระดูก ไม่ต้องไปเห็นเป็นซากศพ ไม่ต้องไปเห็นเป็นดินน้ำไฟลม

ไม่ต้องไปนึกว่ามันจะต้องเปื่อยผุพัง เน่า แตก เอาความรู้สึกธรรมดาปกติเดี๋ยวนี้...นี่แหละคือกายตามความเป็นจริง ...ไม่ลึกกว่านี้ ไม่หยาบกว่านี้ ...ถ้าหยาบกว่านี้ก็บอกว่าเรานั่ง อันนี้อย่าไปฟังมัน

มันบอกว่าเรานั่ง ตัวเรานั่ง ...ก็ดูลงไป ดูที่อาการนั่งสิ ให้รู้เฉยๆ ตรงอาการ  ไหวนี่เห็นมั้ย วูบๆ เหมือนไฟแลบ เหมือนฟ้าแลบ เห็นมั้ย แพล็บนึงๆ แค่นั้นแหละ พอแล้ว

นั่นแหละกาย ดูเข้าไป รู้เข้าไป ให้ทันกัน แล้วมันจะไปลบล้างความเห็นผิดในกาย ว่านี้เป็นเรา นี้เป็นของเรา ...ก็มันเห็นซ้ำเห็นซาก เห็นอยู่ทนโท่คาหูคาตาอยู่เลยว่า มันเป็นอะไรๆ อย่างหนึ่งที่ปรากฏ แค่นั้นเอง

ถ้าภาษาฝรั่งอีกก็ว่า Something else เท่านั้น ใช่มั้ย ...มันบ่งบอกอัตลักษณ์ไหมว่าเป็นชายเป็นหญิง มันบ่งบอกไหมว่ามันสวยหรือไม่สวย มันบ่งบอกไหมว่ามีใครเป็นเจ้าของมัน

เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นไหว เป็นนิ่ง เป็นตึง เป็นขยับ ...จริงๆ ไอ้ที่เราพูดนี่มันยังไม่บอกเลยว่าเป็นไหวหรือเป็นนิ่ง ยังต้องใช้สมมุติยังต้องเอาภาษาไปทาบอยู่เลยนะว่าไหว นิ่ง ...นี่ยังมีสมมุติเข้าไปบังเลยนะ

แต่ถ้าดูไปจริงๆ มันเงียบ มันเป็นอะไรที่ตั้งอยู่เงียบๆ ใช่มั้ย ...ตัวที่รู้ก็เงียบ ตัวที่รู้ที่เห็นก็เงียบ ...แต่มันอาจจะมีเสียงกระซิบของจิตอยู่ 

คอยออกความเห็นว่านี่ เรากำลังนั่งนะนี่ แขนเราขยับ ขาเรามันกำลังเย็นอยู่  มันคอยวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ...ตัวนั้นแหละคือจิตที่เข้าไปให้ค่า ตัวจิตนี่คือความไม่รู้

เมื่อมันไม่รู้ มันไม่เห็นความเป็นจริงของปรมัตถ์ ไม่ยอมรับความเป็นจริงของปรมัตถ์ ...มันพยายามเอาสมมุติและบัญญัติเข้ามาเติม เข้ามาอธิบาย เข้ามาให้ความหมาย

แล้วพวกเรานี่ มันจะติดสมมุติกับติดบัญญัติ และเอาบัญญัติและสมมุตินี่มาเป็นความจริง ...นี่เขาเรียกว่าหลงบัญญัติ หลงสมมุติ

แล้วมาหลงสมมุติว่านี้เป็นชาย สมมุติว่านี้เป็นหญิง ...รู้รึเปล่า แค่สมมุติว่าเป็นชาย สมมุติว่าเป็นหญิงนี่ ล้านๆ ชาติแล้วที่เกิดตาย บอกให้เลย

แค่สมมุติ เชื่อในสมมุติว่านี้เป็นชาย นี้เป็นหญิง แค่เนี้ย เกิดตายนี่เป็นหลายล้านชาติแล้ว ...เห็นมั้ย นิดเดียวแค่นี้เองนะ แต่ว่าพาให้ยืดยาวไปขนาดไหน

แต่ว่าการแก้ แก้ก็ง่ายมากเลย ก็แก้แค่นี้เอง...ก็ไม่เชื่อมัน แล้วก็หยั่งลงไปตรงๆ รู้ลงไปตรงๆ ที่ความปรากฏขึ้นของกายนั้น ว่านั่งว่านิ่ง ว่าไหว ว่าติง ว่าขยับ ว่าร้อน ว่าอ่อน ว่าแข็ง ว่าเบา ว่าหนัก

ดูมันไป ธรรมดาๆ นี่แหละ เรียกว่าสติธรรมดาที่มาเห็นกายธรรมดา ...เห็นมั้ย การภาวนาเป็นเรื่องธรรมดานะ ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไรเลย

ไอ้ที่มันลึกลับซับซ้อนนี่ทำเกินไป ทำเกิน ทำตามตำราเกินไป ทำตามคนอื่นเขาพูดมาก ทำตามคนอื่นเขาว่ากันเกินไป ...ไอ้คนพูดมันยังไม่เห็นเลย กายธรรมดานี่

มันไปอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ ไปอยู่กับจิตที่วิลิศมาหราอัศจรรย์พันลึกอะไรของมันก็ไม่รู้  มันไม่มีสาระหรอก ...ไอ้ที่มีสาระอยู่ไม่ดู ไอ้ที่ควรจะต้องดู..ไม่ดู

ไอ้ที่ควรจะต้องทำความเข้าใจกับมันกลับไม่ยอมทำความเข้าใจกับมัน ไอ้ที่ควรจะสำเหนียกแยบคาย กลับไม่สำเหนียกแยบคาย ...กลับไปหาอะไรทำกันอยู่


(ต่อแทร็ก 8/34  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น