วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 8/30 (1)



พระอาจารย์
8/30 (550909A)
9 กันยายน 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ผู้ใดเท่าทันจิตสังขาร ผู้นั้นจะออกจากบ่วงมาร ...ขนาดพระพุทธเจ้ายังเกือบไม่รอด ใช่มั้ย เห็นท่านั่งพระพุทธรูปปางสะดุ้งมารไหม

แรกๆ ท่านขัดสมาธิเพชร ก่อนที่จะเกิดปุพเพนิวาสานุสติญาณ  จิตมันก็กระหวัดหวน...เคยมีลูก เคยเป็นพระราชา เขาบอกว่าจะเป็นพระมหาจักรพรรดิ มีทรัพย์สมบัติเจ็ดขุม

เมียแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ทรัพย์แก้ว ยานแก้ว แผ่นดินแก้ว จักรแก้ว อะไรก็แก้วหมด เราจะไปเป็นมหาจักรพรรดิดีไหม ...จะออกแล้ว เนี่ย จะออก จะออกจากสมาธิ

เอามือออกได้ข้างเดียว ...สติเกิด  เอาล่ะวะ ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ โกนหัวออกมาบวชแล้ว เอาใหม่ ตั้งใจขึ้นมา ...จึงมีพระพุทธรูปปางนี้ เรียกว่าปางสะดุ้งมาร หรือมารวิชัย

นี่เป็นพระพุทธรูปก่อนตรัสรู้ จะเป็นอย่างนี้ ...เพื่อเป็นอุทาหรณ์ของคนรุ่นใหม่ จะได้ไม่เป็นลุงขี้เมา อย่ามัวเมาไปกับจิต อย่ามัวเมาไปกับความปรุงแต่งของจิต อย่าหลงคารมของจิต

จิตมันมีโวหาร มีคารมคมคาย ...ไอ้คารมคมคายของจิตคืออะไร...วจีสังขาร ...วจีที่พูดนี่ ยังเป็นสังขารนอก ...ก่อนที่จะพูดนี่มันมีวจีก่อน ในความคิด ในจิต

แม้จะไม่พูดออกมากับใคร มันยังพูดของมันเองคนเดียว แล้วมันยังมีรูปที่เป็นอดีตอนาคตพูดได้ด้วย ...นั่นแหละวจีสังขาร แล้วมันก็ปรุงสมมุติและบัญญัติในภาษา ให้น่าศรัทธาเลื่อมใส...แล้วทำตาม

เห็นมั้ย จิตสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร สังเคราะห์รวมกันเสร็จเป็น...ตัวเรา เรื่องของเรา  ตัวเขา เรื่องของเขา ...ตายอยู่กับตรงนี้ ออกไม่ได้เลย ก้าวไม่พ้นบ่วงมาร

ใครเป็นเจ้าของบ่วงมาร...พญามัจจุราช ... "เรา" ก็มาเกิดและตายอยู่อย่างนี้ ไม่สามารถจะเล็ดลอดจากบ่วงมารได้

ถึงบอกว่า อย่าออกนอกกาย อย่าให้จิตพาทัวร์ อย่าออกทัวร์ไปกับจิต ...มันปิดทริปไปแล้ว คือมันพักทริปน่ะ ก็อย่าไปคิดว่าจะไปไหนดีวะ สร้างจิตให้มันออกทริปไปซะอย่างนั้น

หาเรื่องคิด วิธีการ อุบาย จะปฏิบัติยังไงดีถึงจะเร็ว ถึงจะชัด ...คืออยู่ดีๆ ไม่ต้องคิด ตำรวจก็ไม่จับ ...ก็ไม่ต้องไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ ตะเข็บมันก็มีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปฟื้นมันหรอก เดี๋ยวมันก็มาให้เห็นเองแหละ

นี่ล่ะ อย่าออกนอกกาย กายเดียว กายจริง ...ถ้ากายจริงน่ะ ไม่มีชายจริงหญิงแท้ในกายจริง ...ถ้ากายไม่จริง จะมีชายจริงหญิงแท้ในกายไม่จริง แล้วตรงนั้นจะมีชายจริงหญิงแท้ที่สวยและไม่สวยในนั้นอีก

ทั้งหมดเป็นกายไม่จริงหมด ...แต่ถ้ากายจริงแล้วไม่มีชายไม่มีหญิง ไม่มีสัตว์ ไม่เป็นบุคคล...มีแค่แข็ง ตึง แน่น หนัก เบา มันเป็นแค่ก้อน กอง ...ดูดีๆ ตรงนี้ก็เห็น 

มันเป็นอะไรกองอยู่ตรงนี้กองนึง...ไม่ต้องไปพูดกับมัน ไม่ต้องไปสมมุติมัน ไม่ต้องไปบัญญัติมัน ไม่ต้องไปหาเหตุหาผล เอาถูกเอาผิดกับมัน ...อย่างนี้เรียกว่าไม่ออกนอกกายจริง กายแท้

กายศีล หรือปกติกายนี้ เป็นกำแพง ...เหมือนกำแพง เหมือนปริมณฑล เหมือนอาณาเขต เหมือนขอบเขต ขอบพัทธสีมา เป็นรั้ว เป็นอาราม เป็นวัด เป็นศาสนาแผ่นดิน

ถ้าจะบำเพ็ญเนกขัมมะ หรือเป็นนักบวช หรือบวชใจ ต้องไม่ออกนอกวัด ...ใจน่ะเขาไม่ไปไหน แต่จิตน่ะ มันชอบร่อนเร่ ไปหาที่เกิดที่ตาย ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้จักเบื่อจักหน่าย

เพราะนั้นก็รวมเป็นหนึ่งอยู่ในกาย กายน่ะเหมือนกำแพง รั้วเป็นศีล กายก็เหมือนกำแพง อันเดียวกันนะ ...ถ้าออกนอกกายก็ออกนอกความเป็นคน ...เป็นคนรึเปล่า 


โยม –  เป็นคนค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ โดยสมมุติบัญญัติ โดยรูปขันธ์นามขันธ์ โดยขันธ์ห้า เหตุปัจจัยกรรมวิบากปรุงแต่ง สมมุติว่าเป็นคนอยู่ ไม่ใช่หมา ไม่ใช่ผี

แล้วตั้งแต่เช้าจนถึงขณะนี้นี่ เป็นคนกี่นาที กี่ชั่วโมง หรือกี่วินาที ...เห็นมั้ย โดยภพปัจจุบันหรือภพตามความเป็นจริงเป็นคน...แต่ความจริงที่ดำเนินอยู่เป็นคนไม่จริง ไม่ถึงครึ่ง ไม่ถึงเสี้ยว ในหนึ่งวัน

พระพุทธเจ้าถึงบอกไงว่า...ศีลนี่คือเครื่องหมายของความเป็นคน ...ไม่ใช่ศีลวิรัติ ห้ามฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหก ไม่กินเหล้า แล้วแสดงความเป็นคน ...นั่น ยังไม่เป็นคน

ถ้าเป็นคนต้องรู้ว่านั่ง เพราะคนกำลังนั่ง เป็นคนนั่ง ใช่มั้ย ไม่ใช่หมานั่งหรือผีนั่ง เป็นคนนั่ง ...เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นคนนั่งต้องรู้สึกว่าแข็งสิ นี่คือศีล...แสดงความเป็นคน

เมื่อรู้ว่านั่งแล้วแข็ง อยู่กับแข็ง แปลว่าอยู่ในศีล กำลังเป็นคนอยู่ ...แต่ส่วนมากมันเป็นผี ล่องลอย พเนจร  เวลาทำงานก็เป็นยักษ์  เป็นเทวดาเป็นพรหมไม่ค่อยมี น้อยหน่อย

มันเป็นผีซะเยอะ ลอยไปลอยมา หลง เผลอ เพลิน หายเห็นมั้ยว่า ถ้าคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเองนะ ในหนึ่งวันนี่ เป็นคนกี่เปอร์เซ็นต์ แปลว่าอะไร ศีลนี่หลุดลุ่ยเลยแหละ ไม่ดำรงอยู่ในองค์ศีลเลยแหละ

คือไม่ดำรงอยู่ในความเป็นคนที่แท้จริง ...เพราะภพปัจจุบันเป็นคน ไม่ใช่หมา ไม่ใช่ผี ...โดยขันธ์ห้ามันเป็นคนนี่ โดยสมมุติบัญญัตินะ นี่คือความจริงนะ

เพราะนั้น เมื่อใดที่เราอยู่ในศีล อยู่ในกรอบของศีล คือกรอบกายนี่ ...ศีลก็เป็นรั้ว เป็นกำแพง...ที่จะแสดงความเป็นคน อยู่ในความเป็นคน

จิตที่อยู่ภายใน ที่มันโลดแล่นกระโดกกระเดกไปมา แต่มันไปไม่ได้ เพราะมันติดกรอบกายอยู่ เหมือนรั้ว ...ถึงบอก กายเป็นศีล ศีลเป็นรั้ว มันจะไปก็ติดกายซะ ไปไม่ได้

มันก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในกายนี้ เห็นมั้ยว่ากายนี่ ปริมณฑลหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ มันเหมือนเป็นกำแพง จิตที่อยู่ในกำแพงนี่ มันออกนอกกำแพงไม่ได้

เมื่อจิตนี่ มันออกนอกกำแพงนี้ไม่ได้ ...มันมีแรงนะจิตน่ะ มันมีกระแส ...แต่ถ้ามันออกไปไม่ได้ กระแสจิตนี่ ถ้าเราให้เปรียบนี่ เหมือนกับสายฉีดน้ำน่ะ มันฉีดอยู่ข้างในนี่ มันไม่มีรูออกน่ะ

คือถ้าว่ามีอยู่หกรูนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ..หกรู ...ถ้ามันออกได้รูนั้นรู้นี้ ออกทีพร้อมกันหกรูเลย น้ำมันก็แผ่กระสานซ่านกระเซ็นไปไม่มีสาระแก่นสาร

แต่ถ้ามันออกไปไม่ได้ล่ะ เพราะสติมันควบคุมไม่ให้ออกนอกกาย..คือออกนอกศีลนี้ ...จิตมันก็ไปไหนไม่ได้ แต่มันก็ไม่หยุด มันก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ภายในกายนี้ ด้วยอำนาจของสติ ที่รักษาศีลอยู่

แต่จิตมันไม่หยุด มันก็วิ่งชนผนังนี่แหละ ไม่ไปไหน ชนแขนบ้าง ชนความรู้สึกที่ขาบ้าง ชนที่หัว ที่หน้า ที่หลัง ที่เอว ที่ไหล่ ที่ตีนที่มือที่นิ้ว  มันไปไหนไม่ได้ ชนไปชนมาอยู่ในนี้

เหมือนเอาน้ำไปฉีดกำแพง รู้จักกำแพงมั้ย ...แต่เผอิญกำแพงนั้นน่ะ มีแต่ตะไคร่ แล้วก็มีอันธพาลนี่มาเขียนด่าพ่อล่อแม่ ป้ายสีสัน วาดภาพสวยบ้าง วาดภาพลามกจกเปรตบ้าง

มันวาดอะไรไว้เยอะแยะเต็มไปหมดหน้ากำแพง จึงไม่เคยเห็นกำแพงจริงเลย ...แล้วมันจะเชื่อไหมว่าไอ้นี่คือกำแพง ตามที่เขาป้ายสีไว้ หรือเราป้ายสีไว้เองนั่นแหละ 

แต่ทีนี้ไอ้จิตที่มันไปไหนไม่ได้ มันก็จ้องจะชนอยู่กับกำแพงนี้ มันก็ฉีดน้ำอยู่รอบกำแพงนี้ มันออกไม่ได้ ...ตรงนี้เรียกว่าอำนาจของสมาธิ มันรวมอยู่ภายในนี้ เป็นหนึ่ง

เพราะนั้นตัวกำลังของจิต แทนที่มันจะส่ายแส่ออกไปโดยไร้สภาพไร้อำนาจ มีแต่ความลุ่มหลงมัวเมา มีแต่สุขมีแต่ทุกข์ ...มันก็กลับมีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว นี่

จิตเหมือนกัน แต่เป็นจิตมีสมาธิ อยู่กับกาย ในกาย ...มันก็ชะล้างฉีดอยู่ที่กำแพงนี้  ฉีดไปฉีดมา มันก็กะเทาะออก ไอ้ตะไคร่ ไอ้สีสันวรรณะ รูปภาพ ภาษาที่เขียนไว้ 

มันก็เขียนชื่อตัวเองนั่นแหละ ส่วนมากจะเป็นเรื่องตัวเอง แล้วก็รูปผู้ชายรูปผู้หญิงของตัวเอง ...มันก็ฉีดออก ก็เห็น..อ้อ ไอ้พวกนี้มันเป็นแค่สีสันนี่หว่า ...ไม่ใช่กำแพง

มันเห็นเนื้อกำแพงแล้ว มันเป็นอิฐนี่หว่า ...เกิดมาแสนล้านโกฎิชาติยังไม่เคยเห็นกำแพงเลยว่ะ ว่าอะไรคือกำแพง หลงเข้าใจว่าไอ้ที่เขาเขียนชื่อนั้นน่ะคือกำแพง เนี่ย เรียกว่าเห็นกายตามความเป็นจริง

เราเกิดมายังไม่เคยเห็นกายตามความเป็นจริงเลย เห็นแต่กายตามสมมุติ เห็นกายตามคนที่เขาบอก พ่อแม่ตั้งชื่อให้ก็เชื่อเลย เราไม่ได้ตั้งเองหรอก แต่ก็เชื่อเลยว่าเราชื่อนี้

เห็นมั้ย เขาทาสีให้ เขามาเขียนติดไว้ที่ผนัง หนังเนื้อหนังหน้า  ก็เชื่อเป็นวรรคเป็นเวรเลยว่าจริง คนในโลกเขาก็บอกว่า เนี่ยเป็นผู้หญิง นี่เป็นผู้ชาย...ก็เชื่อจริงๆ

เห็นมั้ยว่าความเชื่อนี้ท่านเรียกว่า สีลัพพตปรามาส เขาบอกให้เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะทุกคนเชื่อกันอย่างนี้นี่ มันจะไม่จริงอย่างไร ใครไม่เชื่ออย่างนี้มันว่าไอ้นี่บ้า เห็นมั้ย ความที่มันพูดไม่ได้ ต้องนิ่งอย่างเดียวนะ

แต่ตัวเองน่ะต้องมาทำความเข้าใจในตัวเอง ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ ...เพราะนั้นตัวที่จะเข้าใจตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริง ไม่มีทางอื่นนอกจากศีลกับสมาธิ

ศีลคือปกติกาย สมาธิคือจิตตั้งมั่นไม่ออกนอกกาย ...มันจึงจะชำระมลทินในกาย ที่ไม่ใช่กายจริง ...กายที่เป็นมลทินคือกายสักกาย หรือกายสังขาร หรือกายปรุงแต่ง

“กายเรา” นี่ก็คือสักกาย  สักกายหรือกายเรานี่...ก็คือกายสังขารอันหนึ่งที่จิตมันสร้างขึ้นมาบัง มาคลุม มาปกปิดไว้ ...ตัวนี้ กายสังขารตัวนี้ เป็นตัวสำคัญที่สุด

สำคัญยังไง ...ก็มันใช้ตัวนี้มาบังกายนี่แสนล้านโกฏิชาติ จนเรานี่เชื่อแบบหัวยันตีนเลยว่าเป็นตัวเรา ...เกิดกี่ภพกี่ชาติๆ จิตนี่มันจะสร้างตัวนี้มาก่อนเลย แล้วหญิง-ชาย สวย-ไม่สวย  กายอดีต-อนาคตนี่ตามมา

แต่เบื้องต้นนี่มันสร้างกายสังขารก่อนแรกเลยคือ “ตัวเรา” ...แล้วเราจะเชื่อกายเรามากกว่า มหาภูตรูป ๔ ...กายที่เป็นมหาภูตรูป ๔ รู้จักรึเปล่า ดินน้ำไฟลม คือมหาภูตรูป ๔

หรือพูดง่ายๆ ภาษาวิทยาศาสตร์คือสสาร การประกอบขึ้นของสสาร ...คือภาษาพระ พระพุทธเจ้าท่านเรียก มหาภูตรูป ๔ คือดินน้ำไฟลม นี่มันเชื่อไอ้ “กายเรา” มากกว่า มหาภูตรูป ๔

แต่ว่าความเป็นมหาภูตรูป ๔ นี่ เขาแสดงโดยปกติวิสัยอยู่แล้ว ...จะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม เขาก็แสดงความเป็นลักษณะของสสารนั้นๆ ตามสภาพนั้นๆ เมื่อมีเหตุปัจจัยมากระทบมันอย่างนั้น

เช่น แข็งนี่ อยู่ดีๆ มันจะแข็งไม่ได้ ต้องมีการกระทบ มันจึงแข็ง...แข็งเจอแข็ง รู้สึกเวทนาเกิด ...นี้คือความเป็นจริงของกาย หรือความเป็นจริงของมหาภูตรูป...ซึ่งเป็นกายจริง ไม่ใช่กายหลอก

แต่เห็นตอนนี้ เห็นแค่นี้ ยังไม่เชื่อ...ว่ามันเป็นมหาภูตรูป หรือเป็นกายสักแต่ว่ากาย ...เพราะอะไร ...คือเราเชื่อ “กายเรา” มาแสนล้านชาติน่ะ จะมาเชื่ออย่างนี้ง่ายๆ ได้อย่างไร

มันจะเชื่อง่ายๆ ก็สบายไปแล้ว มันไม่ยอมง่ายๆ หรอก ...นี้คือความหมายมั่น นี้คือความยึดมั่นถือมั่น ยึดหน้า ยึดตัวถือตน ยึดเรายึดเขา ...มันยึดนะ มันเชื่อจนถึงขั้นยึด

ถ้าไม่มีอิทธิบาท ความพากเพียร ที่จะชะล้าง ...ก็บอกแล้วว่า เวลาฉีดน้ำในกำแพงนี่ มันไม่ได้เห็นตลอดหรอก  ด้วยอำนาจของสติสมาธิปัญญาเบื้องต้นนี่ มันเห็นแค่รอยกะเทาะแค่นิดหนึ่ง

มันก็เห็นแค่ ตรงนั้นจุดนึง..ตรงนี้จุดนึงๆ ...แล้วเดี๋ยวไอ้ตรงนั้น ถ้าไม่ได้ชำระต่อเนื่องนะ ก็ตะไคร่ขึ้นอีกแล้ว พอมาเริ่มทำใหม่ก็ต้องกะเทาะอีก..ทีละจุดๆๆ

แล้วพอทำไปได้หน่อย มันก็ว่า...“เหนื่อย เบื่อแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเลย” ...ก็หาช่องรอยแตกของกำแพง ออกทัวร์ จะออกทัวร์ซะหน่อย เปิดช่องให้จิต …นี่ ต้องปิดนะ


(ต่อแทร็ก 8/30  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น