วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 8/32 (3)


พระอาจารย์
8/32 (550909C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
9 กันยายน 2555
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก  8/32  ช่วง 2


พระอาจารย์ –  เมื่อไม่ออกนอกนี้ อยู่ตรงนี้ มันจะมีอะไรมาทาบทาตรงนี้  เดี๋ยวมันขจัดปัดเป่าไป ด้วยวิจยธรรม ด้วยสติธรรม ด้วยสมาธิธรรม ด้วยปัญญาธรรม ...มันก็จำแนกธรรมออกไป

อันไหนเท็จ อันไหนจริง อันไหนปลอม อันไหนสมมุติ อันไหนบัญญัติ อันไหนเป็นแค่ความคิด อันไหนเป็นแค่ความเห็น อันไหนเป็นแค่ความจำได้ อันไหนเป็นแค่จิตสร้างขึ้นมา

มันก็จะเห็นว่า กายนี่มันมีอยู่  จะแตะต้องหรือไม่แตะต้อง มันก็จะโด่ของมันอยู่อย่างนี้ ...ไอ้นอกนั้นน่ะ เคลื่อนๆ ไปๆ มาๆ เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็ไม่มี อย่างนี้

ตามันก็จะเริ่มชัดเจน ใส ปัญญามันใส มันชัดเจนเลยว่า...นี่ ของจริง (เสียงสัมผัส) ...ของไม่จริงก็เริ่มหมดราคาไป ...มันจะมาเชียร์แขกขนาดไหนก็ไม่เชื่อแล้ว

มันก็จะละเลิกสันดานเดิมไป ที่อาศัยความคิดความจำเป็นไกด์ไลน์ ..ก็ไม่อาศัยความคิดความจำ อดีตอนาคต เป็นไกด์ไลน์ต่อไป มันพาทุกข์ …ออกทัวร์นี่ทุกข์นะ จิตน่ะทัวร์

แรกๆ มันก็เขียนโบรชัวร์ซะสวย จะไปที่นั้นที่นี้ ได้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ เห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืน แสงสีออร่า เขียวๆ ม่วงๆ ...พอไปเข้าจริงๆ ไม่เห็นเจอเลย อย่างนี้

จิตมันจะฝันหวาน แรกๆ ตอนเริ่มปฏิบัติ ก็ฝันแล้ว ...จะได้ธรรมอย่างนี้ จะเกิดธรรมอย่างโง้น อย่างนั้นจะเร็วกว่าเดิมอีกสามเท่า จะชัดเจนกว่าเก่าอีกนะ

ถ้าได้ปริยัติมาเพิ่มเติมอีกล่ะ ถ้าได้ศึกษาพิจารณาให้มันถี่ถ้วนลงไปในภาษาในบัญญัติก็น่าจะดี ...พอเราออกไปทัวร์กับมัน...เสร็จ มันหลอกกูว่ะ มันหลอกเอาแท้ๆ เลย

นี่ก็จะไม่ยอมรับทุกข์ตรงนี้อีกนะ ตีโพยตีพายอีก...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างงั้น ทำไมมันเป็นอย่างโง้น ...คิดต่ออีกว่ะ คิดต่ออีกแล้ว จะสร้างกายใหม่ จะสร้างจิตใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว

ภพใหม่มาแล้ว คอยรองรับอยู่ตลอดๆ ...อีพ่ออีแม่เอ๊ย คอยไปรองรับกับมันอยู่ตลอดเหมือนกัน นี่ คนโง่ เรื่องของคนโง่ ก็คอยรองรับภพอยู่อย่างนั้น ตามเขาต้อยๆ แม่เอ๊ย

กลับ ปิ๊กบ้านปิ๊กช่อง ปิ๊กเฮือนเฮาเต๊อะ ...มีบ้านมีช่อง บ่ล้างบ่ถู บ่ปัดบ่กวาด ขยะปะเลอะปะเต๋อ เต็มไปหมด บ่หันกระทั่งพื้นกระดาน ว่ามันเป็นไม้หรือมันเป็นปูน ยังไม่เห็นเลย 

ก็มัวแต่ร่อนเร่พเนจรไปมาตามทริปน่ะ ออกทัวร์ตลอด ...ถ้านักปฏิบัติก็ทัวร์ธรรมะ หาวิธีการปฏิบัติ สภาพธรรมนั้น สภาวธรรมนี้ คิดกันเข้าไป หากันเข้าไป เทียบเคียงกับอดีตอนาคต

เราเคยทำอย่างนี้ ตอนนี้ดีกว่ารึเปล่า ถ้าอย่างนี้ก้าวหน้า ถ้าอย่างนั้นถอยหลัง แน่ะ มันวางระบบให้เสร็จสรรพ ...ถ้าก้าวหน้าแล้วจะดีใจ ถ้าถอยหลังจิตจะต้องเสียใจ มันบอกให้เสร็จสรรพเลยนะ

กลับบ้าน อี่น้อง กลับบ้าน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่มีอะไรทำก็ปัดกวาดเช็ดถูบ้านไป เป็นงาน ทั้งงานอดิเรกและงานหลัก ...แรกๆ ก็งานอดิเรก ต่อไปก็เป็นงานหลักเลย

ไอ้งานรองก็คือว่ามีคนมาเคาะประตูบ้านแล้วก็ออกไปคุยเจ๊าะแจ๊ะๆ นั่น ไม่เอาๆ ...รีบกลับบ้านนะ อย่าไปไกล  พอออกไปไกล เขามันงอก เขาควายจะงอก ควายเขาตู้

ออกไปก้าวหนึ่ง..งอกเซ็นหนึ่ง ออกไปสามก้าว..งอกสามเซ็นเลยเขาควายเรา ...ถ้าออกไปไกลนี่ เป็นควายเต็มตัวเลย...คราวนี้กูไม่กลับบ้านแล้ว กูจะหาปลักแช่เลย

แต่ถ้าอยู่ในบ้านนี่ ยังเป็นคนอยู่นะ ใช่ป่าว ...หรือไม่เป็นคน อยู่บ้านนี่ไม่เป็นคนหรือ เป็นหมารึเปล่า..ไม่เป็น เป็นพระอรหันต์รึเปล่า..ไม่ได้เป็น ...เป็นคนๆ

ต้องเป็นคน เพราะความจริงเราเป็นคน มีขันธ์ห้าเป็นคนอยู่แล้ว ...ไม่ได้ขันธ์สี่ ไม่ใช่ขันธ์สาม ไม่ใช่ขันธ์สอง ไม่ใช่ขันธ์หนึ่ง หรือไม่ใช่ไม่มีขันธ์ ...ขันธ์ห้าคือคน

ก็ต้องกลับบ้าน ถ้าเมื่อไหร่กลับบ้านก็เป็นคน ถ้าออกนอกบ้านก็เป็นควาย ...ชอบเป็นควายหรือชอบเป็นคน  ถ้าฟังเราตอนนี้ก็บอกว่าชอบเป็นคน..แต่นิสัยยังเป็นควาย (หัวเราะ)

ไอ้อยากจะเป็นคนน่ะ แต่นิสัยมันชอบไปเป็นควาย ไม่รู้เป็นนิสัยอะไรไม่ดี ...ก็บอกแล้วมันเป็นควายมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ตามจิตที่มันล่อหลอกน่ะ

ก็ตามภพที่มันสังเคราะห์บรรเจิดขึ้นมานี่ เจิด..เดี๋ยวก็เจิดขึ้นมาแล้ว เจิดจ้า แสงเรืองรอง แสงสีทองผ่องอำไพอยู่ภายภาคหน้า ...เออ ทำไมมันไม่ผ่องอำไพอยู่ตรงนี้วะ

ทำไมต้องไปทำอะไรเสียก่อนมันถึงจะผ่องอำไพขึ้นมาล่ะ ...เห็นไหม มันต้องมีเจตนา มันต้องมีจงใจ ...ไอ้เจตนา จงใจ นั่นแหละต้นเหตุของมันคือความอยาก

ถ้าไม่อยากได้ความสงบ มันไม่นั่งสมาธิหรอก ...เพราะนั้นน่ะ ทุกอย่างที่มีการทำขึ้นมานี่ มันจงใจหรือเจตนาอยู่แล้ว หวังผลอยู่แล้ว ...ไอ้ผลนั่นแหละคือภพ ไอ้ผลนั่นแหละคืออุปาทานภพ

จะดีจะร้าย จะถูกจะผิด จะได้ตามหวัง จะไม่ได้ตามหวัง ...ถ้าได้ตามหวังก็สุข ถ้าไม่ได้ตามหวังก็ทุกข์ ถ้าได้ตามหวังก็พอใจ ถ้าไม่ได้ตามหวังก็เสียใจ ไม่พอใจ ...นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชน

แต่ถ้าเราถอยออกมา แล้วก็อยู่ แล้วก็ดูอาการของมัน ...จะเข้าใจมัน จะเข้าใจสภาพขันธ์ สภาพจิต สภาพจิตสังขาร สภาพกิเลส สภาพที่ต่อเนื่องจากจิตสังขาร

มันก็ดีดลูกคิด...เหมือนเถ้าแก่ เข้าใจมั้ย เหมือนเรานั่งดูอยู่อย่างนี้เป็นเถ้าแก่ดีดลูกคิด ลูกน้องทำงาน ไอ้นี่ทำงานดี ไอ้นี่ทำงานไม่ได้เรื่อง ไอ้นี่อู้งาน ไอ้นี่มันออกนอกงานอยู่ ไอ้นี่ทำงานจริง

นี่ ดีดลูกคิด get out ... get rid ไล่ออกลูกเดียว ...นั่น ก็จะเข้าใจเองน่ะ ก็มันเห็นอยู่ ไม่ใช่ว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ คือปล่อยปละละเลย โรงงานก็เจ๊ง ใช่ไหม

เพราะนั้น ใจที่นั่งอยู่ รู้อยู่เห็นอยู่ คอยดูอยู่ รู้อยู่เสมอนี่ ...นั่นแหละมันจึงจะเข้าใจสภาพขันธ์ตามจริง และสภาพขันธ์ที่ไม่จริง..เกินจริง ...แล้วไอ้ที่ไม่จริงนั่นก็เอาออก

อะไรที่ว่าเกินจริงก็คือ เกินจากปัจจุบัน ...เริ่มตั้งแต่เกินจากปัจจุบัน เริ่มเห็นก่อนเลยว่าไม่จริง แล้วจะเริ่มให้ราคาน้อยลง หรือว่าให้ความสำคัญกับมันน้อยลง 

ที่ว่าให้ความสำคัญน้อยลง หมายความว่า เข้าไปดีใจ-เสียใจ หวาดกลัว วิตกกังวล จะน้อยลง ...เมื่อมันน้อยลง หรือว่าขาดออกจากอดีตอนาคตแล้ว นั่นแหละ เหลือแต่ปัจจุบันล้วน

มันจึงจะมาถี่ถ้วนลงในปัจจุบันธรรม จนถึงที่สุดของปัจจุบันว่าคืออะไร ...ก็จะเข้าใจความหมายว่า ที่สุดของมันก็ไม่มีอะไร นอกจากว่ามีความดับไปเป็นธรรมดา

ที่สุดของไตรลักษณ์คือมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรเกินธรรมดาที่ดับไปนี้ ...ใครว่าแน่ ใครว่าเก่ง ใครว่าเลิศ ว่าประเสริฐ ไม่มีอะไรเหนือกว่าธรรมดาที่ดับไป หรือดับไปเป็นธรรมดา

เพราะนั้นธรรมสูงสุดของธรรมทั้งหลายทั้งปวงคือ ดับไปเป็นธรรมดา ในปัจจุบัน ...มันเริ่มเห็นความดับไปๆๆๆ ของอดีต-อนาคตไม่มีจริงก่อน ...สุดท้ายปัจจุบันก็ดับ ไม่มีอะไร

มันก็เก็บกระเป๋ากลับบ้าน หมดงาน ไม่หางานทำแล้ว ไม่มีงานให้ทำแล้ว ...มันก็คืนสู่ธรรมชาติที่ไร้สภาพ ไร้ร่องรอย ไร้รูปไร้นาม ไร้ตัวและตน ไร้การเกิดการดับ ไร้การตั้งการปรากฏ

นั่นแหละธรรมชาติที่แท้จริง ที่เหนือธรรมชาติเกิดดับ นั่นแหละ รวมอยู่แค่นี้แหละ “กาย-ใจ” ...บอกแล้ว เราบอกให้ท่องเป็นมอตโต้เลย "กาย-ใจๆๆๆ" ... มันจะไปไหน...ไม่ไป

จิตจะชักชวนออกนอกลู่ออกนอกทาง ออกนอกกายออกนอกใจ..ไม่ไป มันจะเอาอะไรมาอ้าง เอาอะไรมาล่อ..ไม่ไป เอามรรคผล เอาพระอรหันต์มาล่อ..ไม่ไป ไม่เอา เหลือกายใจสองอย่าง

สุดท้าย สามโลกธาตุนี่ เหลือแค่กายกับใจ แค่นั้น ...แล้วสุดท้าย กายก็ไม่เหลือ ใจก็ไม่เหลือ จบ ...แต่ถ้ามันยังขยาย สยายปีกกล้าขาแข็งออกไปนี่ มันจะจบยังไง

ถ้ามันจะจบ มันต้องหดๆๆๆ จากล้านหรือครึ่งล้าน จากครึ่งล้านเหลือแสน จากแสนเหลือหมื่น จากหมื่นเหลือพัน จากพันเหลือร้อย จากร้อยเหลือสิบ จากสิบ เก้า แปดเจ็ดหกห้าสี่สามสองหนึ่ง

นี่ เหลือสองก่อน หนึ่ง-สอง..สอง-หนึ่งๆ แล้วเหลือศูนย์เลย นั่น ต้องหดกลับมา อย่าขยายออกไปหาอะไรที่มันเกินนี้ มันก็ยิ่งหดตัวมาเหลืออยู่แค่นี้จำเพาะกายใจนี้

ให้สังเกตดูว่า ทุกข์จะน้อยลง ...แรกๆ อาจจะทุกข์ก่อน อย่างที่เราบอก มันเร่าร้อน ...แต่ต่อไปจะเห็นเลยว่า น้อยลง เรื่องราวน้อยลง ความน่าจะเป็น..ไม่น่าจะเป็นอะไรต่างๆ 

มันไม่ค่อยเข้าไปห่วงหาอนาทรเท่าไหร่ ไม่อนาทรในอดีต ไม่อนาทรในอนาคต ช่างหัวมัน  มันจะรู้สึกอย่างนั้น อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ มันค่อนข้างจะอย่างงั้น ...นั่นน่ะผล

ไม่ใช่ว่าได้เห็นสภาวธรรมสภาวะแถะอะไรหรอก ...แต่รู้สึก...อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้  เงื่อนไขน้อยลง คำด่ากับชมเริ่มรู้สึกว่าไม่รู้เขาด่าหรือชม แปลไม่ออก เพราะไม่ได้ตั้งใจแปล ฟังแค่ผ่านๆ

เฮ้ย เขาด่ารึ นี่ต้องให้คนอื่นมาบอก  อ้าว เหรอ บางทีงง มันไม่ได้ตั้งใจฟัง ไม่สนใจ ...ก็ตั้งใจฟังอยู่แต่ไม่ได้สนใจคิดต่อ นี่ มันก็เลยไม่ค่อยแปลความหมายอะไร นั่นแหละเป็นผล

มันจะเป็นอย่างนี้ มันจะไม่ค่อยเอาเรื่องเอาราวกับโลกกับขันธ์  เพราะไม่เห็นความเป็นจริงของขันธ์เกินกว่า...แค่รู้ว่ายืนเดินนั่งนอน มันมีแค่นี้เอง แล้วก็การปรากฏแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดาเท่านั้นเอง

นั่นแหละคือการปฏิบัติที่ตรงต่อธรรม ตรงต่อพุทธะ ตรงต่อธรรมะ ตรงต่อสังฆะ ตรงต่อมรรคและผล ...ถ้ามีผู้ปฏิบัติอยู่เช่นนี้ โลกนี้จะไม่ขาดจากอริยบุคคลเลย


โยม –  หลวงพ่อคะ ตอนไม่เสมอกัน มันเห็นเพียงแค่การรับรู้เท่านั้นหรือเจ้าคะ มันก็เห็นว่ามันไม่เสมอ เพราะมันแค่รับรู้

พระอาจารย์ –  เป็นเพราะจิตมันเข้าไปให้ค่า มันจึงมีการเท่ากัน เสมอกัน สูงกว่า ต่ำกว่า ...แต่เมื่อใดที่จิตไม่เข้าไปให้ค่า ทุกอย่างเป็นอันเดียวกัน ไม่แตกต่าง ไม่มีความแตกต่าง

ที่แตกต่างเพราะจิตน่ะเข้าไปแบ่งแยก ...เมื่อใดหมดซึ่งอาการของจิตแบ่งแยก เมื่อนั้นธรรมเป็นเนื้อเดียวกัน ธรรมนั้นเป็นธรรมเดียว ธรรมหนึ่ง


โยม –  ก็จะเห็นว่า มันแค่ไม่มีสิทธิ์เลือก คืออะไรก็ได้ คือไม่เลือก อย่างที่หลวงพ่อเคยพูด มีแต่แค่ตั้งมั่นแค่รับรู้เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ และเป็นกลาง


โยม –  ถ้าอย่างนั้น ในลักษณะของการที่เราแผ่เมตตาค่ะหลวงพ่อ มันก็ไม่มีตัวคำว่าเราเข้าไปรองรับว่าเราเป็นคนแผ่

พระอาจารย์ –  ไม่มีแผ่ไม่มีเผ่ออะไรหรอก


โยม –  แต่มันก็มีแค่รู้ รู้ในลักษณะแค่เห็น

พระอาจารย์ –  จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในฐานรู้ฐานเห็นนี่ เป็นภาวะที่จิตไม่มีอาการเบียดเบียนสัตว์อยู่แล้ว เพราะนั้นการที่จิตไม่มีอาการเบียดเบียนสัตว์ ใจที่ไม่มีภาวะเบียดเบียนนี่ 

ภาวะนี้จึงเรียกว่าเป็นภาวะเมตตาโดยปริยาย ...เพราะนั้นจิตจึงมีความเป็นเมตตาโดยตลอดเวลา เพราะมันไม่กอปรอยู่ด้วยความเบียดเบียน เข้าใจมั้ย

เพราะนั้นไม่ต้องไปจงใจแผ่ ตั้งใจแผ่อะไรหรอก แผ่ให้ตัวเองคือรู้อยู่เฉยๆ นั่นแหละ รู้อยู่ในกายใจนี้แหละ มันมีเมตตาอยู่ในตัวของมันเอง



............................... 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น