วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 8/30 (2)


พระอาจารย์
8/30 (550909A)
9 กันยายน 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 8/30  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น สติต้องทันนะว่าหลงคิดอีกแล้ว หาอีกแล้ว ค้นอีกแล้ว สงสัยอีกแล้ว ออกนอกปัจจุบันอีกแล้ว วิธีการนั้นวิธีการนี้ ...ไม่เอา ปิดประตูตีแมวเลย

ใครจะว่าโง่ ใครจะว่าไม่ได้อะไร ใครจะว่ากายนี้หยาบ ใครว่ากายนี้พื้นๆ ใครบอกว่าปัญญาเกิดแล้วมันจะละกายได้ทีหลังเองน่ะแหละ...ไม่เชื่อ ไม่สน

ปิดประตูตีแมว ปิดประตูล้อมไว้ซะ จิตมันจะไปไหนไม่รอดหรอก มันก็จะต้องจำเป็นต้องมาทำงานในกาย คือชะล้างๆ ฉีดมันไปทั่ว ฉีดมันเข้าไป อย่างนี้

จากที่มันเคยเป็นแหว่งๆ กะเทาะทีละจุดตรงนั้นตรงนี้  มันเริ่มขยายออก เป็นกอบเป็นกำแล้ว น่าเชื่อถือหน่อย ...คือเป็นกอบเป็นกำน่าเชื่อถือนี่ ประมาณสักสี่สิบเปอร์เซ็นต์

เออ เชื่ออันนี้มากกว่าอันนั้นแล้ว...นี่คือปัญญาของพระโสดาบัน เกิดขึ้นแล้ว ...แต่ไม่ใช่ว่าหมดนะ โสดาบันยังไม่หมด แต่เชื่อว่ามันเป็นกำแพงแล้ว แต่ก็ยังมีอีกเยอะ อีกเกินหกสิบ

แต่ก็จะไม่บอกว่าเป็นหญิงเป็นชายจริงๆ จังๆ แหละ เพราะมันมีกำแพงคาหูคาตาอยู่ว่าเป็นอิฐ หรือเหล็ก หรือไม้ ไม่มีสีสันแต่ประการใด เป็นธรรมชาติที่มันโด่เด่ตั้งอยู่อย่างนี้ เป็นยันต์กันผี กันผีหลอก

เพราะนั้นไอ้สี่สิบเปอร์เซ็นต์ของท่านนี่ ประมาณเอานะ ไม่ต้องมาจดเป็นสถิตินะ หมายความว่าในหนึ่งวัน สี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่ท่านเป็นคน ท่านอยู่กับความเป็นคน

ไอ้ออกนอกกายหรือออกนอกปัจจุบันของท่านนี่ มันออกด้วยความว่า ก็ไม่ได้จงใจเจตนาแบบเอาเป็นเอาตายหรอก ...มันมีเรื่องให้ออก ก็จำเป็นต้องออก

แต่ไปแล้วก็รีบกลับบ้าน มันจะรีบกลับโดยสันดาน นี่ มีสันดานใหม่ขึ้นมาเลยนะ จะรีบกลับบ้าน มาอยู่กับกำแพงนี้ เพราะเชื่อในกำแพงนี้ ...เพราะรู้ว่างานนี้ยังล้างไม่จบ

เห็นมั้ย นี่แปลว่าอะไรล่ะ ...ถ้าท่านตายตอนนั้นน่ะ สมมุติตายตอนนั้น จะเกิดเป็นหมามั้ย...ไม่น่าเกิดเป็นหมา  จะไปเกิดเป็นเปรตไหม...ไม่น่าเกิดเป็นเปรต

เพราะท่านยังเป็นคน ท่านอยู่กับความเป็นคน เห็นมั้ย จึงเรียกว่าทำไมถึงบอกว่าพระโสดาจึงปิดอบาย...ก็ส่วนมากท่านอยู่กับความเป็นคนน่ะ ภพปัจจุบันนี้ 

ตายตอนไหนท่านก็เป็นคนแน่ๆ เพราะตายระหว่างเป็นคน จิตก็เป็นคน กายก็เป็นคน ...และอานิสงส์ของการที่เป็นคนจริงๆ นี่ ถึงระดับนี้ อนุญาตให้เกิดได้อีกไม่เกิน ๗ ชาติ

เพราะอะไร ...เพราะสันดานท่านเปลี่ยนไปแล้ว ไม่คิดจะเป็นผีเป็นเปรตแล้ว เป็นคนอย่างเดียว แล้วก็ยอมรับความเป็นจริงของความเป็นคน ...แต่ยังเป็นคนไม่ถึงที่สุด...ครึ่งๆ คน

แต่ไอ้ของพวกเรานี่ มันแค่ว่าจุดทศนิยมของคน...ยังไม่ถึงครึ่งนะ ...เพราะนั้นอย่างพระโสดาบันพอท่านอยู่ไป ถ้าสมมุติว่าอายุขัยไม่ตัดรอน ไม่มีกรรมมาตัดรอน 

หรือมีความเข้าใจในลักษณะนี้ตั้งแต่เล็กแต่น้อย เจ็ดขวบ สิบขวบ  ยี่สิบขวบ นี่ ไม่ใช่ไปเข้าใจตอนเก้าสิบ อายุขัยก็จะเป็นตัวตัด ไม่อยากตายก็ต้องตาย ก็มาสร้างความเป็นคนใหม่ที่มันยังไม่เต็ม

แต่ถ้าท่านอยู่ในช่วงปฐมวัยน่ะ งานของท่านก็เป็นงานหลักแล้ว ล้างลูกเดียว...มียี่สิบสี่ชั่วโมงก็ยี่สิบสี่ชั่วโมงนั่นน่ะ ต้องยี่สิบสี่ชั่วโมงทำงาน ไม่ขาดจากงานนี้

เรียกว่าจิตน่ะ อยู่ในกาย แล้วอะไรที่มันจะออกนอกกาย รู้ละรู้วางๆๆ ...นี่ทำอย่างเดียว ไม่เอาอะไรเลย ทำอย่างนี้อย่างเดียว ชำระล้างหมดเลย

ทีนี้ว่าพอไอ้กำแพงตรงนี้ ก็หมด ...ก็แจ้งกาย ไม่มีกาย มีแต่กำแพงเปล่าๆ แล้ว ไม่มีสีสันติดเลย ตะไคร่ก็ไม่มี ท่านก็อยู่อย่างนี้ตลอดเลย มันชัดเจนเลย ไม่ออกนอกนี้แล้วนะ

มันเห็นอยู่แค่นี้แล้ว อยู่กับความจริงอยู่กับกายตลอดเวลา มันไม่เห็นอะไรที่จะออกไปหา กายนอกก็ไม่มี กายในก็ไม่มี ...มันมีอันเดียวอย่างนี้เหมือนกันหมดน่ะ

นี่ภพเดียวใช่ไหม เลยมีเป็นคนคนเดียวแล้ว มีความเป็นภพเดียว ...รู้จักมั้ยว่าความเป็นภพเดียวคืออะไร คือพระอนาคามี ท่านไม่ออกไปไหนเลย อยู่ตรงนี้ มีภพเดียว คือมนุษย์

ไม่ใช่ว่าเป็นภพของพระอริยะอริเยอะอะไรหรอก ...คือเป็นคนร้อยเปอร์เซ็นต์ อนาคามีนี่คนร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ไม่มีภพที่สองสามสี่ ไม่มีภพอดีต ไม่มีภพข้างหน้า ...มีแต่ภพเดียวคือภพปัจจุบัน

ภพปัจจุบันเป็นอะไร ...เป็นคน ท่านก็อยู่กับความเป็นคนที่กาย และท่านเห็นกายที่ไม่ใช่กาย มันล้างหมดแล้วน่ะ จึงหมดสิ้นซึ่งราคะ กามราคะ จึงหมดสิ้นซึ่งรูปราคะ

นี่ กามราคะมันมาคู่กับปฏิฆะ ...เมื่อหมดราคะคือความพอใจในรูปในกาย ก็หมดความไม่พอใจในรูปในกายไปด้วย ...ซึ่งกายนี่มันประกอบขึ้นด้วยรูป 

เพราะที่เราเห็นกายนี่ มันเห็นโดยรูป มันจำรูปของกายได้ แล้วเอารูปมาทาบกับกาย ...พอมันเห็นกายไม่มีกาย รูปก็ดับไปพร้อมกาย เห็นมั้ย รูปราคะก็ดับไปพร้อมกามราคะ

นี่คือสันดานของจิตของพระอนาคามี ไม่ได้วิเศษวิโสเลยนะ ก็เป็นคน ...แล้วจากนี้ ไม่มีกายปรากฏ กรอบของกายนี่สลาย กายมีกรอบเพราะรูป รูปมันจำกัดกรอบกายไว้

ถ้าลบสมมุติสัญญารูป รูปสัญญา ...กายนี่จะไม่มี จะไม่มีทรวดทรง จะไม่มีสัณฐาน จะไม่มีที่ตั้ง  เป็นอะไรที่ตั้งอยู่ในอวกาศ เหมือนก้อนโลก ก้อนอุกาบาต ก้อนฝุ่นละอองในอวกาศ ล่องลอย ไม่มีที่ตั้ง

เห็นมั้ยว่าจากที่เป็นคน ท่านกำลังจะออกจากความเป็นคน นี่คือก้าวต่อถึงพระอรหันต์ คือปัจจุบันไม่มี ...ไอ้ที่เคยตั้งอยู่ในปัจจุบัน เริ่มเห็นปัจจุบันไม่มี

ก็มาเรียนรู้ความไม่มีในปัจจุบัน หรืออนัตตาล้วนๆ ไม่มีตัวตน ...มันทำลายขันธ์ ทำลายความเห็นในขันธ์ไปตามลำดับอย่างนี้  จนไม่มีขันธ์ห้า จนเห็นขันธ์ห้าไม่มี

ถ้านึกตามน่ะยาก นึกตาม วาดภาพตามยิ่งยากใหญ่ ...แต่ถ้าพัฒนาจิตให้เห็นตามไปตามลำดับ จะเข้าใจเป็นปัจจัตตังเพราะนั้นการที่อยู่ตรงนี้ มันจะพัฒนาของมันไปตามลำดับเลย

อย่าออกนอกนี้ อย่าไปหาที่อื่น อย่าเปิดช่อง ...อุดรอยแยก รอยแตก รอยรั่ว รอยโหว่ อยู่ในนี้  เอาจนกายนี่สลาย แตกหาย กระจัดกระจาย ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ...กายมันจะแตก

ไอ้พูดภาษาน่ะพูดได้น่ะ แต่ถ้านึกว่ากายมันแตกยังไงวะ มันก็จะเป็นภาพนิมิตน่ะ  ถ้าพวกเรานึกนะก็จะเป็นภาพนิมิต ก็เป็นกายนิมิตแล้วก็แตกสลาย บึ้มไปอย่างนั้น...ไม่ใช่นะ ไอ้นั่นมันนิมิต กายนิมิต

แต่กายแตกจริงๆ นี่ มันแตกจากรูป มันไม่มีทรวดทรง มันมีแต่เหตุที่ปรากฏเป็นจุดๆๆ ..นั่นแหละมหาสมาธิ นั่นแหละมหาสติ มันจึงจะเห็นกายนี่เป็นจุดๆๆ

นี่ ไม่เห็นทรวดทรงของกายแล้ว ไม่มีทรวดทรงกายแล้ว  แล้วทุกอย่างเป็นจุดหมดเลย ...มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา ดับเป็นจุดๆๆๆ ไปอย่างนี้

ในขณะที่มันเห็นความดับไปว่างไป ว่างไป ดับไป สูญไป ...จิตมันซึมซาบ มันสำเหนียกรู้ มันเข้าใจสภาพธรรมที่เรียกว่าอนัตตธรรม คือความไม่มีตัวตนของสรรพสิ่ง

ตอนนั้นไม่มีภาษารูป ไม่มีภาษานาม ไม่มีบัญญัติ ไม่มีสมมุติแล้ว  แล้วไม่สนใจด้วยว่าอะไรมันอยู่ตรงนี้  ...นี่ จิตวิเวกถึงที่สุดคือมหาสติ มหาสมาธิ 

มันลบบัญญัติสมมุติออก จิตไม่มีคำพูดแล้ว วจีสังขารนี่ดับแล้ว ไม่ทัน เกิดไม่ได้ ดับที่เดียวกันหมดเลย

มันก็เข้าใจความเป็นสุญญตาธรรม อนัตตาธรรม สุญโญ อนันตมหาสุญโญ ในอนันตาจักรวาล ในอนันตภพ ล้วนตั้งอยู่บนความว่างเปล่า ไร้สภาพรูปและนามที่แท้จริง

เพราะนั้นสภาพรูปและนามที่มันเข้าใจว่ามี ว่าเป็น ว่าตั้ง ว่าใช่ ...เป็นแค่เหมือนเป็นนิมิต เหมือนเราเขียนในอากาศ เอามือนี่เขียนในอากาศ มันเป็นสัญลักษณ์ ...ตัวตนที่แท้จริงของมันน่ะไม่มี

นี่ จะมองเห็นทุกอย่างนี่เป็นเหมือนการเขียนในอากาศ มันเรียนรู้อย่างนี้ มันเข้าใจอย่างนี้ 

เพราะนั้น ไอ้จิตที่กระหายอะไรที่เป็นอาสวะ กระหายภพ กระหายที่จะไปตั้งอยู่กับอะไร ไปเกิด ไปมี ไปอยู่ ไปปรากฏกับอะไร ...มันปรากฏไม่ได้

ไอ้จิตที่มันกระหาย ทะเยอทะยาน ...ขนาดที่เหลือเป็นแค่ภพเดียวนี่ จิตตัวนี้ยังไม่ตายเลยนะ  มันก็ยังมีสันดานที่จะไปหาดื่มหากิน หาที่อยู่หาที่กิน คือหาภพ หาชาติ หาภพเพื่อรอชาติ

แต่ในระดับตรงนี้ มันจาง มันบางจนที่เรียกว่าระดับสติปัญญาแบบปุถุชนไม่มีทางเห็นหรอก แค่ขยับ เขยื้อน กระเพื่อม...ถ้าให้เปรียบน่ะ กระเพื่อมทีนึงนี่เหมือนกับสามโลกธาตุแตกน่ะ

ทำไมมันถึงขนาดนั้น ...ในระดับที่วิเวกระดับมหาสติ มหาสมาธิ คือมันสุดวิเวก เข้าใจมั้ย ...ต่อให้เข็มเล่มหนึ่งตกลงมา เสียงนี่ดังก้องสามโลกธาตุเลย เหมือนอย่างนั้น

เพราะนั้นการปรากฏขึ้นของจิตน่ะ มันกระเทือน การเกิดขึ้นของจิตนี่กระเทือนสามโลก เห็นทุกข์บังเกิด แบบตานี่เห็นชัด ...เหมือนเรายืนอยู่กลางแจ้งแล้วเห็นเส้นลายมือน่ะ

มันชัด มันชัดระดับนั้น จิตปึงๆๆ อย่างนั้น แต่ข้างนอกนี่ไม่รู้ไม่ชี้อะไรหรอก มันเป็นอย่างนั้น ...กระบวนการของจิตสุดท้าย มันก็อยู่ตรงนั้น ไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็ห่างๆๆๆ 

พอจิตสุดท้าย..ดับ สว่าง สว่างในตัวของมันเอง ...คือมันจะรู้ในตัวของมันเอง จิตนี้ไม่เกิดอีกแล้ว จิตไม่แสวงหาที่เกิดอีกแล้ว มันตายแล้ว มันสิ้นแล้ว มันสิ้นภพมันจบชาติแล้ว

นี่ ไม่ต้องให้ใครพยากรณ์แล้ว จบแล้ว ม้วนเสื่อแล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว ...มันตายตั้งแต่ยังไม่ทันตายน่ะ จิตสังขาร ...ตายจริงด้วย ไม่ได้แกล้งตาย

คือมันเคยผ่านการแกล้งตายหลายครั้งแล้ว ยังไม่ตายจริง เห็นมั้ย ท่านไม่ประมาท จนถึงสุดท้ายนี่...ถึงขณะสุดท้ายนี่ ถึงจิตสุดท้ายแล้วนี่ ท่านก็ยังดูมันไป

แต่ก็รู้นะ...หมดแล้ว คืนสู่ความเป็นสามัญ ความคิดความปรุง อารมณ์ สันดาน อุปนิสัย

ถ้าให้เปรียบ ก็เหมือนมีไฟอยู่กองหนึ่ง ในไฟนั้นน่ะ มีไม้เป็นเชื้อ ...แต่ละขันธ์ของอริยะบุคคล แต่ละอริยะบุคคล คือไฟกองหนึ่ง...แต่ฟืนคนละชนิด ไม่เหมือนกัน

ฟืนชนิดนี้..ไฟสีนี้  ฟืนชนิดนั้น..ไฟสีนั้น  ฟืนชนิดนี้ ความร้อนอย่างนี้ แสงสีนี้  ฟืนอีกชนิด สีอย่างนี้  ฟืนชนิดนี้สะเก็ดมาก ฟืนชนิดนี้สะเก็ดน้อย ฟืนชนิดนี้ไม่มีสะเก็ด ...ไม่เหมือนกัน

แต่ไฟของพระอรหันต์แต่ละองค์นั้น คือขันธ์ห้านั้นน่ะ เป็นไฟที่ไหม้ในอากาศ เป็นกองฟืนที่ตั้งอยู่ในอากาศ ...ถึงมีสะเก็ดกระเด็นออกมา ท่านก็ไม่ได้ห้ามสะเก็ด

แล้วท่านก็ไม่กังวลกับสะเก็ดที่กระเด็นออกมาตามอำนาจของการเผาไหม้ของฟืน ...เพราะมันไม่ลุกลาม มันอยู่ในอวกาศ เข้าใจมั้ย ไม่ต่อเนื่อง ไม่ไปไหม้เป็นไฟอีกกองหนึ่ง

แต่พวกเรานี่ก็ไฟ ขันธ์ห้าคือไฟ มีเชื้อไฟต่างกัน ...แต่สะเก็ดไฟ ความร้อนของไฟ มันแผดเผาอยู่บนโลกซึ่งมีเทหวัตถุตั้งอยู่ เป็นบุคคล เป็นสถานที่ ...กระเด็นไปตรงไหน..ลาม ร้อน เข้าใจมั้ย ไม่เหมือนกัน

เพราะมันยังมีเชื้อให้ลุกต่อ เพราะมันยังมีคนดูแลกองไฟนี้อยู่ เพราะยังมีคนอาศัยกองไฟนี้เป็นที่พักพิง อบอุ่น ไล่ความชื้น อะไรก็ตามน่ะ มันหาประโยชน์จากกองไฟนี้อยู่

แล้วในโลกนี้มีเจ็ด-แปดพันล้านกองไฟ ...ร้อนไหม...ร้อน ...แล้วต่างคนต่างก็พยายามทำไฟกูให้ใหญ่ มันจะได้มีอาณาเขตกว้างๆ สว่างเยอะๆ ก็คือตีปี๊บใส่ประทัดกันไป เสียงมันจะดังไปกว้างไกล นั่น

ซึ่งต่างกับไฟของพระอรหันต์หรือขันธ์ของพระอรหันต์ ...ท่านไม่แตะต้องแล้ว ไม่มีใครไปยุ่งกับกองไฟนี้ ก็ปล่อยให้มอดไป หมดไป ตามธรรมชาติ

แล้วธรรมชาตินั้นตั้งอยู่บนความว่างเปล่า คือเป็นอนันตมหาสุญญตา ...จึงหมดสิ้นซึ่งการเกิด ...ดับแล้ว..ดับเลย เป็นนิโรโธ ไม่หวนคืน ไม่เปิดช่อง ไม่มีเชื้อต่อ


(ต่อแทร็ก 8/31)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น