วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 8/27 (2)


พระอาจารย์
8/27 (550821C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
21 สิงหาคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 8/27  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นี่ถ้าพูดโดยภาษานะ ก็พออธิบายได้เลาๆ ว่าอย่างนี้ มันทิ้งอย่างนี้ มันเข้าใจอย่างนี้ ...แล้วก็รู้สึกดี สบายดี ไม่รู้ว่าจะไปเป็นทุกข์อะไรกับอะไรดี

เพราะมันไม่ได้เป็นธุระอะไรของใครเลย มันไม่มีความเป็นสัตว์บุคคล ...เป็นเรื่องของอุกกาบาตชนกัน  อุกกาบาตกับอุกกาบาตมันวิ่งลอยไปลอยมา บทจ๊ะเอ๋กันก็...ตูม แตกบ้างไม่แตกบ้าง ก็ว่ากันไป 

เออ ก็แค่นั้น ...นี่ขันธ์ ๕ มันเป็นอย่างนี้ นี่ มันเห็นขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้ ...สภาพจักรวาล สภาพขันธ์ ๕ มันก็กลายเป็นเรื่องเดียวกันเลยเว้ยเฮ้ย นั่น ไม่เห็นมีเราเลย

แล้วมันก็ตั้งอยู่บนความว่าง ...เอ้ย แล้วตัวมันเป็นแค่ไหน ...มันก็เป็นแค่ลอยไปลอยมา วูบๆ วาบๆ ...แล้วตัวจริงอยู่ไหน ไม่มีตัวจริงๆๆ ...ขันธ์ ๕ เป็นนิมิตเลย

เพราะว่ามันกลายเป็นรูปนิมิตนามนิมิตไป ทั้งหมดก็กลายเป็นสุญญนิมิตหมดน่ะ ...แล้วนิมิตนี่ก็..อือ จะไปจริงจังอะไรกับนิมิตทั้งหลายทั้งปวงนี่ ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่บอกว่าขันธ์ ๕ ไม่มีหรอก

ถ้าขันธ์ ๕ ไม่มี ก็ไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย ...มันมีเกิดแก่เจ็บตายเพราะมันมีสมมุติ เพราะมันมีบัญญัติ  มันมีกายมีใจ มีจิต มีความคิด ก็เพราะสมมุติ...มันจึงมี...ดูเหมือนมีขึ้นมา  

ปัญญานี่มันเข้าไปทำความทำลาย ล้มกระดานหมดน่ะ มันไปล้มกระดานหมากรุก ปึง ...ถ้าไม่มีตัวหมากรุก ถ้าไม่มีกระดาน ถามว่ามันจะมีคนเล่นหมากรุกมั้ย...ไม่มี

แต่เมื่อใดที่เรายังมีกระดาน มีหมากรุก ...ถึงไม่มีคนเล่นตอนนี้ เดี๋ยวมันก็มีคนแวะเวียนมาเล่นจนได้  เพราะมันยังมีกระดานและก็มีหมากรุก

เมื่อใดที่ยังมีบัญญัติ มีความจริงในบัญญัติ มีการปรากฏขึ้น การตั้งขึ้นโดยสมมุติ อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ...มันยังต้องมีคนเข้ามาเล่น แน่ๆ  ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

เนี่ย การเรียนรู้ขันธ์ นี่คือมรรค นี่คือหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ ...ไม่ใช่ไปนั่งค้น นั่งหา เข้าไปครอบไปครองสภาวะใดสภาวะหนึ่งว่าเป็นของเรา

ปฏิบัติธรรมแล้วก็ต้องให้ได้อะไร ได้ธรรมขั้นโน้น ชั้นนี้  จิตเป็นยังไง ดีกว่าคนนั้น ดีกว่าเมื่อก่อน ดีกว่านู้นนี้หรือเปล่า อะไรอย่างเนี้ย...ไม่ใช่ ไม่ใช่หลักของการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าต้องการ

พระพุทธเจ้าต้องการให้ปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ...ศีลสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา ปัญญาเพื่อให้เกิดการเห็น เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็วางความจริงนั้นซะ เมื่อเห็นว่าความจริงนั้นไม่มีอะไร

แค่นั้นเอง คือเป้าหมายของการภาวนา ไม่ต้องลึกลับซับซ้อนอะไร ...เมื่อใดที่ปัญญามันเห็นความเป็นจริง ก็จะเห็นที่สุดของความจริงนั้นว่า...ไม่มีอะไร เป็นอนัตตา...แล้วก็วาง

ถ้าไม่วาง ก็ดูต่อ อดทนดูต่อ สังเกตต่อ ...จนกว่าจะเห็น จนกว่ามันจะยอมรับความเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไร แล้วค่อยวาง

อย่างนี้จึงจะเข้าข่ายของเหล่าอนุพุทธะทั้งหลาย เหล่าพุทธศาสนิก เป็นสันดาน สืบนิสัยวาสนาของพุทธะพุทโธ

อย่าให้มันคลาดเคลื่อน อย่าไปไขว่คว้าครอบครองธรรมใดธรรมหนึ่งมาเป็นเจ้าของ ...การภาวนาไม่ใช่ของเรา ผลของการภาวนาก็ไม่ใช่ของเรา ไม่มีผลของเราแต่ประการใด

กระทั่งขันธ์ ๕ มันยังไม่ใช่เราเลย ...แล้วจะไปเอาผลของการภาวนามาเป็นเราได้อย่างไร จะเอาสภาวจิตนั้นสภาวธรรมนี้มาเป็นของเราได้อย่างไร

เพราะนั้นต้องคอยระงับ ...และเมื่อใดที่มี “เรา” บังเกิดปรากฏให้รู้  นั่นแหละคือสังขาร จิตสังขารหนึ่ง หรือกายสังขารหนึ่ง คือมันสร้างสภาวะสังขารปรุงว่า...นี้เรา นี้ของเรานะ

บางทีก็มีการพูดขึ้นมา เป็นแค่ภาษาขึ้นมาว่า..เฮ้ยของเรา ในความคิด หรือเป็นแค่ความเห็น หรือว่าเป็นความรู้สึกมันปรุงขึ้น ...นี่เป็นสังขารทั้งหมด

ก็พยายามคัดกรองออกไป คัดกรองด้วยสติปัญญา คัดกรองด้วยรู้และเห็นเฉยๆ ...แล้วอยู่กับรู้และเห็นตรงนั้นน่ะเฉยๆ ตั้งมั่นไว้ๆ  แล้วจะเข้าใจ อะไรจริง...อะไรเท็จ อะไรมีสาระ...อะไรไม่มีสาระ

แล้วที่สุดทั้งหมด ทั้งที่มีว่าสาระและไม่มีสาระ ...ทั้งหมดไม่มีสาระแต่ประการใด นี่ หมด จบ สิ้น ปิดฉาก ปิดเกม เกมโอเวอร์ ...ก็เล่นต่อไม่ได้แล้ว เกมโอเวอร์ ใช่ป่าว นั่นแหละ

แต่ตอนนี้มันไม่โอเวอร์ ...เกมมันก็ยังเดินๆๆ โต๊งเต่งๆ กระโดดขึ้นกระโดดลงของมันไป เนี่ย เพราะเรายังไม่แจ้งในองค์ขันธ์ ...ก็ต้องดูไปๆ ด้วยญาณ ครอบลงมา

ดูกิจกรรมทางกาย ดูกิจกรรมของขันธ์ไป ...เออ เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา มันจะบ้าบอคอแตกอะไร...ก็เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา

มันจะเกิด มันจะดับ มันจะดีใจ มันจะเสียใจ มันจะขุ่นมัว มันจะกังวล มันจะมีวิตก...เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา ...ดูไว้ๆๆๆ  คอยดูคอยเห็นไว้

แล้วก็ห่างออกจากมัน ทอดธุระกับมัน ...หมายความว่าอย่าเอามันมาเป็นธุระ อย่าเข้าไปจัดการ อย่าเข้าไปว่า..เฮ้ยจะทำยังไงต่อดีวะ นั่นน่ะ ไม่ต้องทำๆ

เวลามันเห็นว่า "จะทำยังไงดีวะ" ...เนี่ย ไม่ต้องทำ...รู้เลย รู้ทัน จิตมันเริ่มเข้าไปหมาย เป็นของเราแล้ว  "จะปฏิบัติไงต่อดีวะนี่" ...อ่ะ เริ่มแล้ว ให้ทัน ...ละเลย

ทันแล้วละเลย ...อย่าต่อ อย่าทำต่อ อย่าจงใจ อย่าเจตนา ...จงใจ เจตนา เป็นกรรมหมด กุศลกรรมก็เกิด หรือจงใจจะห้ามจะบังคับมันก็เป็นอกุศลกรรม ก็ไปบังคับให้มันดับ อะไรอย่างนี้

ก็ละออก ถอนออกซึ่งความจงใจและเจตนา แม้กระทั่งคำว่าปรารภเกิดขึ้น...ไม่เอา รู้เฉยๆ เห็นเฉยๆ โบ๋ๆ กลวงๆ ...นี่หมายความว่าออกมาเห็นนอกกายรอบขันธ์แล้วนะ

แต่แรกๆ ต้องอย่าทิ้งกายนะ รู้จะอยู่ลอยๆ ไม่ได้นะ เห็นจะอยู่ลอยๆ ไม่ได้นะ  ไม่งั้นมันเห็นไปนอกโลกจักรวาล รู้ไปหมด ...เกิน เขาเรียกว่ารู้เกิน

พระพุทธเจ้าถึงบอกไง...ใบไม้กำมือนึง ... ทำไมถึงกำมือนึง...ห้านิ้ว ขันธ์ ๕ ...นี่คือนัยยะ จำเพาะขันธ์  ๕ นะ...พอแล้ว ไม่เกินนี้

ท่านว่ากำมือนึง หมายความว่าในกำมือคือ ๕ นิ้วนี่คือขันธ์ ๕ ...จำเพาะขันธ์ ๕  รู้จำเพาะขันธ์ ๕ นี้

เพราะนั้นกรอบของขันธ์ ๕ นี่...คือกายเนี่ยเป็นเฟรม เป็นกรอบภาพ เป็นกรอบของขันธ์ ๕ ...ถ้าหลุดจากเฟรม หลุดจากกายนี่ ออกนอกกรอบเลย

ไปถึงอนันตาจักรวาลสุดขอบจักรวาลเลย ไปได้หมดเลย...แต่ไม่จริง ...มันเห็นได้หมด เข้าใจได้หมด แต่ละกิเลสไม่ได้จริงเลย... เพราะไม่เข้าใจอยู่ตัวเดียวว่าเราคือใคร

แค่นั้นแหละ ปัญหาอยู่ที่นั้น ...ไม่เห็นตัว “เรา” นี่หมด จบเลย จบหลักการปฏิบัติเลย เพี้ยนหมดเลย

ไม่งั้นพระพุทธเจ้าไม่บอกว่า การละเบื้องต้น...สังโยชน์เบื้องต้นที่ต้องละก่อนคือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส 

ถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสนี้  อย่ามาคุยว่าได้นั่นได้นี่ ว่าเป็นองค์นั้นองค์นี้ ว่าสำเร็จแล้ว... อย่าคุย นั่นผี เห็นผี ...ไม่เชื่อ 

ถ้าไม่เห็นไอ้ตัวเรานี่...ผี ชอบเห็นกันจัง ...แล้วจะรู้เลย มันจะรู้เลยว่าไม่จริง ...การภาวนาจะเก่งพิสดารขนาดไหน มหัศจรรย์ขนาดไหน ก็แค่นั้นแหละ ...“เรา” ยังเต็มหัวอกหัวใจอยู่นั่นน่ะ

ทุกอย่างเป็นเรื่องของเราหมด แล้วเราก็ครอบครองเอาไว้ ...เวลาคุยเวลาพูดก็อวดขี้ ...มี "เรา" ก็มีขี้  เพราะเรามันต้องขี้ แล้วเวลาขี้ออกมามันก็เอาขี้มาอวดกัน 

ก็ขี้ของเรานั่นแหละ ...อะไรเกิดขึ้นตรงนี้ตรงนั้นมันเป็นเราของเรา ...มันก็เอามาคุยกัน อวดกัน ธรรมของกูอ่ะ ก็คือขี้ของเรา แต่พูดให้ดูดีนะ เวลาพูดก็ว่าธรรมที่เราเห็น

เราก็บอกว่านี่เอาขี้มาอวดกันเหรอ เอาขี้มาป้ายกันเหรอ นั่น มันก็นึกว่าสงเคราะห์ในธรรม ...โอ้ย เอาขี้ป้ายกันรึเปล่า ขี้ของเรา

เพราะถ้าไม่มี "เรา" นี่  มันจะไม่มีธรรมของเรา ...ถ้าไม่มีธรรมของเรามันก็เป็นแค่ธรรมสักแต่ว่าธรรม แค่นั้นเอง ปล่อยให้ผ่านไป นะ ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่ใช่เรื่องของใคร ไม่ใช่ธุระของใคร

นั่นแหละ คือฝุ่นละอองในอวกาศ ...อย่าบังอาจไปแตะไปต้อง ไปครอบไปครอง ไปถือไปงำ ไปสร้างอาณาเขต ไปใส่อะโพสโตฟี่เอส ('s) ...เดี๋ยวเดือดร้อนๆ

กว่าที่มันจะถอนออกจากความเข้าไปครอบครองจับจองขันธ์นี้เป็นสมบัติ นี่ มันไม่ใช่ของง่ายนะ ...ต้องเท่าทันทุกขณะจิตน่ะ บอกให้เลย

เพราะอะไร ...เพราะเราติดกายนี้มานับอเนกชาติแล้ว เราติดจิตนี้มาเป็นเอนกอนันต์ชาตินะ ไม่ใช่ง่ายๆ หรอกที่จะมาทำแบบลอยๆ ไป ลอยๆ มา

บางทีภาวนาในระดับนึงแล้วขั้นกลางนี่...จะลอย คือไม่คิด อยู่โปร่งๆ ว่างๆ สบายแล้ว ตีนลอย ทุกข์ก็ไม่มี ไม่มีอะไร ความรู้ก็ไม่มีอะไร เหมือนเป็นอิสระ ...นั่นแหละโมหะเต็มๆ

เพราะนั้้น อย่าขาดการระลึกรู้ อย่าขาดการหยั่งรู้ อย่าขาดกาย อย่าขาดศีล อย่าขาดผืนดิน...ต้องมีที่ยืนนะ ยังไงก็ต้องมีที่ยืน เพราะภพปัจจุบันเป็นคน

บอกให้เลย ต้องอยู่ในความเป็นจริงคือภพปัจจุบันภพเดียว ...มีภพเดียว ก็ต้องอยู่ในภพอันเดียวนี้ อย่าไปอยู่ภพอื่น อย่าไปหมายภพอื่น อย่าไปเอาภพอื่นเป็นจริงเป็นจัง


(ต่อแทร็ก 8/28)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น