พระอาจารย์
8/15 (550628)
28 มิถุนายน
2555
พระอาจารย์ – ธรรมะเป็นอะไรง่ายๆ ไม่ต้องพิธีรีตอง ...อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร ชำระอยู่กับเนื้อกับตัวของทุกคน ...ทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ที่ตั้งปรากฏอยู่ ...ถ้าแยบคายน่ะ ทุกอย่างเป็นธรรมหมด
เขาแสดงธรรมหมด ...ต้นไม้ต้นนึง ก้อนหินก้อนนึง ลมพัดวูบนึงวาบนึง ก็แสดงความไม่มีตัวไม่มีตนปรากฏอยู่แล้ว
แสดงความไม่มีอัตตลักษณ์ เอกลักษณ์ในตัวของมันเอง
ถ้าเราแยบคาย
พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงเหล่านี้เสมอๆ ในปัจจุบันธรรม ...มันก็จะเข้าใจสภาพธรรมโดยรวม
แล้วมันก็จะคลายจากการเข้าไปหมายมั่น ว่านี้เป็นนั้น
นั้นเป็นนี้ สมมุติอย่างนั้น บัญญัติอย่างนี้ ...แล้วก็ไปจริงจังกับบัญญัติ สมมุติ...มากกว่าจริงจังกับสภาพที่แท้จริงของมัน
เพราะนั้นตัวของปัญญา
ความหมายของปัญญาคือเห็นตามความเป็นจริง ...คือมันเข้าไปเพิกถอนการเข้าไปให้ค่าให้ความหมายของจิตที่ไม่รู้ ...เมื่อปัญญามันแก่กล้าขึ้น
หมายความว่ามันเห็นทุกอย่างเป็นแค่สิ่งหนึ่งตามความเป็นจริง ...มันไม่ใช่ว่าไปสร้างความเป็นจริงขึ้นมาใหม่ หรือว่าไปทำให้มัน
บังคับให้จิตมันยอมรับความเป็นจริงนี้
แต่มันเป็นความจริงที่มันเป็นอยู่แล้ว
เป็นสัจจะโดยสัจจะอยู่แล้ว ...เพียงแต่ว่าจิตมันไม่เข้าไปเห็นสภาพธรรมนี้ตามจริงเท่านั้นเอง
การภาวนามันก็จะมีการอบรม
เพื่อให้อยู่ในกรอบ...ในกรอบที่จะให้จิตมันเข้าไปเรียนรู้ แล้วก็เห็นความเป็นจริงเหล่านี้ ...เป็นความต่อเนื่อง สืบเนื่องไป
มันก็จะไปถ่ายถอนความเข้าใจผิดของจิตที่ไม่รู้
มันก็ถ่ายถอนหรือว่าทำลายจิตที่ไม่รู้นั้นออกไป
เพราะนั้นตัวที่จะตั้งมั่นอยู่ในฐานะเป็นผู้เรียนรู้ ผู้เห็น...ก็คือใจ มันต้องมีใจที่ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่เสมอ ...สติจึงเข้ามาเป็นตัวรักษาใจ
สติจึงเป็นตัวที่เข้ามารักษากายใจ...ให้อยู่ในปัจจุบันเสมอ อยู่กับปัจจุบันเสมอ...เพื่อให้มันเกิดภาวะที่เข้าไปสำเหนียก ในอาการ ในธรรมชาติ ในผัสสะ ในอารมณ์
ในกิเลส ในทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา
เมื่อมันสำเหนียก โยนิโส แยบคายแล้ว ...มันก็จะลึกซึ้งเข้าไปในสภาพที่แท้จริงของธรรมนั้นๆ ว่ามันเพียงแตกต่างกันแค่สัญลักษณ์รูปลักษณ์เท่านั้นเอง
คือเป็นรูปบ้าง เป็นนามบ้าง
เป็นรูปละเอียดบ้าง เป็นนามละเอียดบ้าง เป็นนามหยาบบ้าง เป็นรูปหยาบบ้าง อะไรอย่างนี้ ...มันแตกต่างแค่การประชุมรวมกัน
เกาะเกี่ยวกันเป็นรูปร่างรูปลักษณ์อย่างไร เท่านั้นเอง
แต่ในความเป็นสภาพธรรม สภาวธรรมนั้น มันดำรงอยู่ด้วยความเป็นกลาง ...ไม่มีตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครครอบครองได้
นั่นแหละ มันก็จะเข้าไปสำเหนียกในความเป็นความจริงแท้ของสภาวธรรมนั้น เนืองๆ
เป็นนิจ...เนืองๆ เป็นนิจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ...มันก็จะเกิดความยอมรับไปตามลำดับของมันเอง
เมื่อใดที่มันเกิดการเข้าไปยอมรับ
หรือว่าเป็นภาวะที่เป็นปัจจัตตังจำเพาะจิตขึ้นมาแล้วนี่ ...ไอ้ตัวที่ไม่รู้นี่
ไอ้ตัวที่ปรุงแต่งมาจากความไม่รู้นี่ มันก็จะค่อยๆ น้อยลง ถอนลง ถอยลง
หมดกำลังลงไป
อาการคิดไปเรื่อย อาการปรุง อาการเข้าไปให้ค่า ให้ความหมาย
ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่มีตามความเป็นจริงนั้นก็น้อยลงไป ...มันก็จะอยู่กับความเป็นจริงล้วนๆ
เพราะนั้นเมื่อใดที่มันอยู่กับความเป็นจริงล้วนๆ
นี่ มันไม่มีอะไรหรอก นอกจากความสงบระงับ ความสันติ ...มันอยู่กับความเป็นจริงแล้วมันจะมีแค่นั้น เหลือแต่ธรรมชาติ
แล้วมันมีความสงบสันติในธรรมชาติ
แต่เมื่อใดที่มันอยู่กับความไม่จริง
มันก็ล้งเล้งไปเรื่อย จิตน่ะ ล้งเล้งๆ ไป
วิพากษ์วิจารณ์ เปรียบเทียบไปมา เอาชนะคะคาน เอาถูกเอาผิด เอาดีเอาโทษ เอาคุณ
เอาสูง เอาต่ำ เอาดำเอาขาว ... อยู่อย่างนั้นน่ะจิต
มันเป็นตัวที่ก่อการร้ายอยู่ภายใน จิตมันเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่ได้ก่อการดีอ่ะ ...แต่เราคุ้นเคยกับมันมาเนิ่นนานกาเล
กว่าจะอบรมมัน...ให้มันยอมอยู่ใต้ธรรม อยู่ด้วยความเคารพนบนอบต่อธรรม
ไม่เข้าไปล่วงเกิน อหังการต่อธรรม
มันก็ต้องอาศัยความพากความเพียรทำอยู่ในแวดวงของศีลสมาธิปัญญานี่แหละ สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ในสติสัมปชัญญะ แค่นี้แหละ ...คือไม่หนีจากการปฏิบัติในแง่มุมนี้เท่านั้น
เพราะนั้นการปฏิบัติ...จะออกนอกเหนือจากสติ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือสติสัมปชัญญะนี้ไม่ได้ ...จะทำยังไงที่มันอยู่ในองค์ศีลอยู่เสมอ
อยู่ในสติอยู่เสมอ มีสติอยู่เสมอ
นั่นแหละ
ก็เรียกว่าตัวใดตัวหนึ่ง...ถ้ามันยังมีอยู่ตรงนั้นก็หมายความว่าใกล้เคียง
หรืออยู่ในมรรคแล้ว ทั้งหยาบทั้งกลางทั้งละเอียด ทั้งโดยตรงโดยอ้อม
มันก็เป็นไปเพื่อมรรค
เพราะนั้นเวลาอยู่ธรรมดา
แม้จะไม่มีอารมณ์ใหญ่ไม่มีอารมณ์น้อย ก็ถามตัวเองว่ามีสติอยู่มั้ย ...คอยสังเกตดู
มีความคิดมั้ย มีอารมณ์มั้ย กลับมาตรวจสอบตรวจทาน ทบทวนสอบทานภายในขันธ์
ไม่ต้องไปสอบทานขันธ์อื่น
ไม่ต้องไปสอบทานวัตถุอื่นข้าวของอื่น ไม่ต้องไปสอบทานเวล่ำเวลาอื่น ...มาสอบทานในตัวขันธ์นี่แหละ
มีความคิด มีอกุศล มีกุศล มีความอยากมั้ย มีความไม่อยากมั้ย สังเกตดู
มีอารมณ์มั้ย
มีกิเลสอยู่มั้ย มีความเห็น มีความคิดความปรุง มีความเชื่อ มีความยึดถือ มีสติ มีศีล มีสมาธิ
อยู่ภายในของตัวเองมั้ย ...ต่างคนต่างคร่ำเคร่งเพียรเพ่งอยู่ภายในอย่างนี้ มันเป็นไปเพื่อองค์มรรคทั้งนั้น
เมื่อมันได้ที่ได้ฐานดีแล้ว
มันก็ชัดเจนขึ้นตามลำดับ มรรคก็ชัดเจนขึ้น ศีลก็ชัดเจน สมาธิก็ชัดเจนขึ้น
ปัญญาญาณก็ชัดเจนขึ้น ผลก็ชัดเจนขึ้น วิมุติหลุดพ้นก็ชัดเจนขึ้น
เห็นธรรมทั้งหลายทั้งปวงด้วยความเป็นกลาง วิมุติหลุดพ้นก็เกิดขึ้น
มากขึ้นไปตามองค์มรรค ...ศีลสมาธิปัญญาเป็นองค์มรรค กายใจเป็นองค์มรรค
พวกนี้สงเคราะห์รวมกันหมด สงเคราะห์เป็นธรรม ให้เข้าถึงธรรม ให้เข้าไปหยั่งถึงธรรม
ให้เข้าไปเห็นสภาพธรรมตามจริง พวกนี้เป็นปัจจัยที่มาเอื้อ
หรือว่าเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ หรือว่าวิธี หรือว่านโยบาย หรือว่ากุศโลบาย
เพื่อให้เข้าไปเห็นธรรมตามความเป็นจริง ...ผลก็คือจิตยอมรับธรรมตามความเป็นจริงนั้น
คือผล
เพราะนั้นผลมันก็...เมื่อเข้าใจแล้วก็ยอมรับธรรมนั้นตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ
แล้ว อีกแง่นึงก็คือปล่อยวางความไม่จริงออกไป คือจิตที่เข้าไปหมาย ...มันก็ปล่อยวางจิตตัวนั้น
เพราะนั้นตลอดชีวิตมันจะอยู่ด้วยความปล่อยวาง ...ถ้ายังไม่หมด มันก็อยู่ด้วยความปล่อยวาง มันวางไปเรื่อยๆๆ เห็นอะไร รู้อะไรกับอะไร
ติดอะไร ข้องอะไร มันก็จะรู้แล้วก็วาง...รู้แล้วก็วาง
ถ้าพูดอีกภาษานึงก็บอกว่า
ตลอดชีวิตนั้นอยู่กับการละทุกข์ มีแต่ทุกข์เกิดทุกข์ดับ มันจะเป็นทุกข์ก็เห็น แล้วทุกข์นั้นก็ดับไป
มันจะก่อให้เกิดทุกข์อีกด้วยจิตหมายอย่างนั้นอย่างนี้ ...มันก็เห็นทุกข์นั้นเกิดขึ้น แล้วก็เห็นทุกข์นั้นดับไป
เมื่อไม่เข้าไปมีไปเป็น
ไปพึ่งพาอาศัยมัน ตลอดชีวิตมันก็อยู่ด้วยการเรียนรู้ทุกข์แล้วก็ละทุกข์
จนเหลือแต่ทุกข์ตามสภาพ หรือว่าทุกข์ตามความเป็นจริง ก็คือทุกขสัจหรือว่าทุกข์ที่เป็นทุกข์ในตัวของมันเอง
กายใจก็เป็นทุกข์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว
แต่ว่ามันมีทุกข์ที่ไม่จริงที่จิตสร้าง ...ก็จะอยู่ด้วยตลอดชีวิตที่ดำรงชีพอยู่ด้วยการละทุกข์วางทุกข์ๆ ...จริงๆ ก็ตัวจิตนั่นแหละเป็นตัวก่อให้เกิดทุกข์อุปาทานขึ้นมา
เพราะนั้นระหว่างวันก็หมั่นคอยตรวจสอบตัวเอง
เพราะมันจะมีช่องโหว่เยอะ หายไปเยอะ ขาดไปเยอะ
พอมันขาดจากปัจจุบันกาย แต่มันเกินเข้าไปในปัจจุบันจิต
ด้วยความหลง คิดมากเกิน ออกไปไกลเกิน เรื่องมากเกิน มีสัตว์บุคคลเกิน
มีเรื่องราวของสัตว์บุคคลพวกนี้เกิน มันจะออกไปเกินทั้งนั้น
แต่ไอ้ที่มันขาดเป็นช่องคือขาดจากการรู้ตัว ขาดจากกาย อย่างนี้ ขาดเป็นช่องเป็นร่อง
มันก็ออกไปเกินในสิ่งที่ไม่ควรไปเกิน ...เพราะนั้นไอ้ตัวที่ไม่จริง แล้วไปเกินในสิ่งที่ไม่จริงนั่นแหละ
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
จนกว่ามันจะเห็นซ้ำซาก เรียนรู้ซ้ำซาก เห็นซ้ำซากว่า...อ๋อ ... จนมันยอมรับว่านี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มันก็จะตั้งอกตั้งใจรู้เท่าทัน
เพียรที่จะรู้เท่าทันกันกับเหตุที่ให้เกิดทุกข์นั้นๆ ... เพื่ออะไร...เพื่อละ
ต่อไปพอมันจับจุดตรงนี้ได้
มันก็อยู่ด้วยการ...ตลอดชีวิตก็อยู่ด้วยการละและวาง เห็นอะไรก็วาง
ได้ยินอะไรมันก็รู้สึกว่าวาง รู้สึกว่าปล่อย มันก็จะอยู่ด้วยความเบา...เป็นผล
เบาสบาย เป็นธรรมดาในอาการ ในอาการเห็น ในอาการได้ยินได้ฟัง มันก็คือความราบเรียบ
สม่ำเสมอ เป็นกลางอยู่ภายใน ...ละวางทางตา ทางหู ทางจมูก ทางกาย ทางใจ ทางคิด
ทางอารมณ์ ทางความจำ
เพราะนั้นกิเลสโดยรวมมันก็มีอยู่แค่นี้แหละ
จิตมันจะไปหลงอยู่กับอะไร ก็มีอยู่แค่นี้แหละ เสียง รูป กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ความคิด
ความจำ ความรู้สึก เนี่ย มันมีให้หมายอย่างนี้ แล้วก็กาย ในแวดวงก็มีอยู่แค่นี้
เพราะนั้นถ้าตั้งมั่นจริงๆ
จิตเป็นหนึ่งจริงๆ ด้วยสัมมาสมาธิ แล้วก็รักษาสมาธินั้นด้วยสติไว้ ...มันก็จะเห็นโดยองค์รวมว่า อาการที่จิตมันหลงออกไปหาน่ะ...มีอะไรมั่ง
ที่มันไปก่อเกิด ...มันไปก่อเกิดกับอะไรบ้าง มันเพลินกับอะไรบ้าง ...มันก็จะเท่าทันแล้วก็รู้ละ รู้วาง รู้ปล่อยออกไป
เพราะนั้นการถอดถอน
การเลิกละปล่อยวางนี่ มันต้องใช้เวลา ...ถอนไปๆ ในลักษณะของปัญญาวิมุติ
มันจะถอนไปเรื่อยๆ ละวางไปเรื่อยๆ เห็นอะไรรู้อะไร ก็ค่อยละไปวางไป ...ละจิตที่ไปหมายนั่นแหละ
เพราะนั้นผลของการละ...แรกๆ ช่วงต้น
ช่วงอยู่ระหว่างทางเดินของมรรคนี่ มันไม่รู้หรอก ว่ามันละได้รึยัง ขาดแล้วรึยัง ละได้มาก ละได้น้อยขนาดไหน ...มันมองแทบไม่เห็นอะไรเป็นชัดเจนหรอก
แต่ก็ไม่ท้อไม่ถอยในการรู้ละรู้วางไปอยู่เสมอ ...พอมันจะเข้าไปเอา พอมันจะเข้าไปมี
มันจะเข้าไปหา จะเข้าไปทำอะไร ...มันก็รู้ทัน สติที่มันตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันจิต
เป็นหนึ่งอยู่กับปัจจุบันก็จะรู้ทัน
รู้ทันก็ละอาการปรารถนาของจิตดวงนั้นซะ
ความรู้สึกเป็นทุกข์กับจิตดวงนั้นที่ออกไปหาก็ไม่มี ...มันก็อยู่กับความว่างความเบา ความไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เป็นอะไร
มีแต่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ในปัจจุบัน
ยืนอยู่ในหลักนี้เท่านั้น มรรคมันก็จะเป็นไปตามครรลองแห่งมรรค เป็นวิถีแห่งมรรค
จนถึงที่สุดก็เป็นวิถีแห่งความรู้แจ้งไป ...เมื่อสุดทางของมรรค มันก็รู้แจ้ง
คือหมด...ที่มันไม่รู้อีกแล้ว
ไม่มีอะไรที่มันไม่รู้อีกแล้ว ในขันธ์ ๕ นี้ ...แม้แต่จะเป็นเศษเสี้ยวอณูหนึ่งของขันธ์
๕ นี่ ก็ไม่มีอะไรที่มันไม่รู้ ไม่มีอะไรที่มันไม่เห็น
ในอาการของจิตที่เข้าไปหมายส่วนใดส่วนหนึ่ง
อาการใดอาการหนึ่ง แม้แต่ขณะจิตหนึ่ง ขณะอณูหนึ่งของขันธ์ ...นั่นเรียกว่ารู้แจ้ง
รู้รอบ รู้ตลอด รู้ถ่ายถอนความเห็นผิด ที่จิตเข้าไปหมายไปครอง
ความเป็นวิมุติ
ความหลุดพ้นออกจากขันธ์ ความหลุดพ้นออกจากโลก ก็จะเกิดขึ้นของมันเอง ตามสติธรรม
สมาธิธรรม ปัญญาธรรม
เพราะนั้นการดำรงชีวิตอยู่...ในขณะที่มีชีวิตอยู่ อย่าให้มันหมดไปกับสิ่งที่มันไม่มีสาระคุณค่า ให้เห็นว่าสาระที่เป็นสาระที่สุดก็คือ...กายปัจจุบันใจปัจจุบันนี่แหละ เป็นสาระสูงสุดที่จะต้องอยู่กับมัน
เรียนรู้กับมัน เห็นมัน และก็ทำความเข้าใจกับมัน ด้วยความแยบคาย ...จนเห็นเนื้อแท้
กายแท้ ธรรมแท้ เป็นอันเดียวกัน ว่ากายเป็นธรรมอย่างไร ว่ากายเป็นธรรมดาอย่างไร
ว่ากายเป็นธรรมชาติหนึ่งอย่างไร ว่ากายเป็นสิ่งหนึ่ง ว่ากายเป็นปรากฏการณ์หนึ่ง
เป็นอาการหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีความเป็นเรา ไม่มีความเป็นของเรา
แม้ในส่วนใดส่วนหนึ่งของกาย
แต่ในขณะเบื้องต้นที่เราอยู่กับมันในตอนนี้
เรายังเห็นกายไม่ตลอด เรายังเห็นขันธ์ไม่ตลอด
มันยังมีบางส่วนบางตอน
มันยังขาดวรรคขาดตอนอยู่ ในบางส่วนของขันธ์ที่มันแสดงอาการ
ที่มันสำแดงเรื่องราวต่างๆ ...มันก็เลยไม่เห็นขันธ์โดยตลอด
พอเริ่มมีสติต่อเนื่องขึ้นไป
ถี่ถ้วนขึ้น ละเอียดลออขึ้น จิตผู้รู้ สติเนี่ย เหมือนกับแมวจับหนูอ่ะ ...มันคอยระมัดระวัง คอยสังเกตสังกา ว่าหนูมันจะออกมาจากรูเมื่อไหร่
มันจะไม่ทิ้งรูนั้นๆ
ใจก็เหมือนรูหนู หนูนั่นก็คือจิต
ที่ออกไปหากิน หาเหยื่อ มันเข้าออกกี่ครั้งก็ไม่รู้ มันไปกิน ไปแพร่พันธุ์
กลับมาแพร่พันธุ์ภายใน เป็นหนูหลายตัวก็ไม่รู้
ถ้าแมวหรือสติสมาธิปัญญามันเป็นแมวที่อยู่หน้ารูหน้าหนู ก็จะคอยตะปบ เท่าทันหนู
ไม่ให้ออก ไม่ให้เข้า ...ไปๆ มาๆ เดี๋ยวหนูมันก็ตายเองน่ะ มันไม่ได้กินไม่ได้อะไร
ถ้าเราถี่ถ้วนหรือว่าอยู่ในงานอันนี้อยู่เสมอ
ไม่ทิ้งงานภาระอันนี้ จิตมันก็จะว่างเปล่าขึ้นไปเรื่อยๆ กิเลสมันก็จะค่อยๆ หมดไปสิ้นไป โดยไม่ไปมัวขยันสร้างเหตุปัจจัยของกิเลส คือความเผลอเพลิน ความอยาก ความไม่อยาก
พวกนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เป็นน้ำเลี้ยงของกิเลส เป็นปุ๋ย เป็นอาหารของมัน ...ถ้ามันได้กินอาหารมาก
มันก็เติบใหญ่แข็งแรง เพ่นพ่าน วางอำนาจของมันไป ข่มขู่
เบียดเบียนตัวมันเองและตัวผู้อื่น
เพราะนั้นกลับมาอยู่กับสติ
กลับมาอยู่กับรู้ กลับมาอยู่กับกาย กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ...นั่นน่ะ ทั้งหมดที่พูดนี่เป็นเรื่องของมรรคทั้งนั้น
อย่าไปอยู่กับความอยาก อย่าไปอยู่กับอดีต อย่าไปอยู่กับอนาคต
อย่าไปอยู่กับเรื่องราวของสัตว์บุคคลอื่น
รวมถึงสัตว์บุคคลที่เป็นตัวเองในอดีตในอนาคตนี่
ให้กลับมาอยู่กับสติสมาธิปัญญา กาย
ขันธ์ปัจจุบันนั่นแหละ มันจะเป็นมรรค
แล้วมันจะเป็นเครื่องสนับสนุนหล่อเลี้ยงในองค์มรรค ...ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง
เมื่อเดินอยู่ในองค์มรรคน่ะ มันเป็นเครื่องที่จะทำให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ...คำว่ารู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งอะไร
เห็นจริงอะไร ...รู้แจ้งในขันธ์ เห็นจริงในขันธ์ รู้แจ้งในโลก เห็นจริงในโลก...ว่าเป็นธรรม
ความหมายของธรรมก็คือปกติหนึ่ง ความหมายของธรรมก็คือธรรมชาติหนึ่ง
ความหมายของธรรมก็คือธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
นั่นแหละ เพื่อการนี้ ... ปัญญาเพื่อการนี้ เพื่อให้เห็นขันธ์และโลก...เป็นธรรมเดียวกัน
ไม่แบ่งแยก ไม่สามารถแบ่งแยกได้
…………………