พระอาจารย์
8/12 (550605D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
5 มิถุนายน 2555
พระอาจารย์ – ถ้าพูดถึงรากฐานของธรรม ก็ต้องพูดถึงเรื่องศีล ...ศีลน่ะเป็นรากฐาน
ศีลแปลว่าปกติกาย ...ไม่ใช่แปลว่าห้ามฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก กินเหล้า ไม่นอนในที่นอนสูงนุ่ม ประโคมดนตรี
แต่งหน้าทาปาก ...ไอ้นั่นศีลวิรัติ ศีลบัญญัติ ศีลสมมุติ
แต่ศีลในความหมายของศีลแปลว่า ปกติกาย
วาจา ... เพราะนั้นปกติกายนี่ เราถามว่ามันมีไหม มันมีอยู่มั้ย ... มันมีอยู่แล้ว ใช่มั้ย
มันต้องทำขึ้นมั้ย...ไม่ต้องทำ
มันมีมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่
ความเป็นปกติกายก็เกิดขึ้นเลย โดนร้อน..ร้อน โดนเย็น...เย็น โดนหนาว...หนาว
โดนแข็ง อ่อน นุ่ม รู้ว่านุ่ม ว่าอ่อน ว่าแข็ง ... เห็นมั้ย มันเป็นปกติ
แสดงความเป็นปกติของกายมาตั้งแต่เกิดแล้ว ตั้งแต่มีรูปกายนี้
เพราะนั้นกายนี้จึงเป็นศีลอยู่แล้ว
คือเป็นปกติกายของมันอยู่แล้ว มันมีความดำรงคงความเป็นศีลในตัวของมันอยู่แล้ว ...
คือเขาอยู่ด้วยความเป็นปกติของเขา เย็นมาก็เย็น ร้อนมาก็ร้อน แข็งมาก็แข็ง
มันเป็นปกติธรรมดาของมันอยู่อย่างนั้น
แต่เราไม่รักษาศีลนี้
เราไม่เคยรักษาความปกติ รู้ความปกติกาย จึงไม่มีศีล ดูเหมือนไม่มีศีล ...มันล่วงเกินศีล
อยู่ด้วยความล่วงเกินศีล ละเมิดศีล ตลอดเวลา อยู่ด้วยการที่ขาดตกบกพร่องต่อศีล
ทั้งๆ ที่ว่านับถือศีลห้าอยู่นะ ...แต่ศีลคือความปกติกายนี่ไม่มี ไม่รู้ ไม่รักษาความปกติกายด้วยสติ
เพราะนั้นถ้ามีสติเข้าไปรักษาปกติกาย
ด้วยการระลึกแล้วก็รู้...ว่าปกติเดี๋ยวนี้ของกายเป็นอย่างไร จึงเรียกว่าเป็นการรักษาศีล
ทำศีลให้ต่อเนื่อง เมื่อใดที่เรารักษาศีลให้ต่อเนื่อง
จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิของมันเองน่ะ
ไอ้ที่เราหาสมาธิ หาความสงบแทบตายน่ะ
ไม่มีทางได้หรอก มันได้แบบหลอกๆ เล่นๆ กัน ... แต่สมาธิที่จะยั่งยืน ที่จะต่อเนื่อง
เหนียวแน่น มั่นคง ต้องมาจากรากฐานคือศีล...ศีลที่เราว่าเมื่อกี้น่ะ
ไม่ใช้ศีลห้าที่เป็นศีลวิรัตินะ...แต่คือศีลปกติกาย
ถ้ารักษา เอาสติมารู้มาเห็นปกติกาย
ยืนเดินนั่งนอนนี่ เดี๋ยวจะเข้าใจความหมายของจิตตั้งมั่นเอง
จะเข้าใจความหมายว่า จิตมีสมาธิ ตั้งมั่น เป็นหนึ่งในปัจจุบัน
มั่นคงแน่วแน่ในปัจจุบัน
อดีตก็ไม่ค่อยมี
อนาคตก็ไม่ค่อยไป มันจะรู้อยู่แค่ตรงนี้ นั่นแหละ มันจะเริ่มตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น ...นั่นแหละคือสัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นเอง
เพราะนั้นคำว่าสมาธิ หรือสัมมาสมาธิ
ไม่ได้แปลว่าสงบ สมาธิไม่ได้แปลว่าสงบ ... สมาธิแปลว่าตั้งมั่น จิตตั้งมั่น จิตเป็นหนึ่ง...หนึ่งกับปัจจุบัน จึงเรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิ
ไม่ได้แปลว่าสงบ
สงบคืออารมณ์ สงบคือสิ่งหนึ่ง
ไม่ใช่จิตตั้งมั่น ... แต่ถ้าสงบ
แล้วมีจิตตั้งมั่นอยู่กับความสงบ นี่ อย่างนี้เรียกว่ามีสมาธิตั้งมั่นกับความสงบ เพราะนั้นความสงบหรือไม่สงบจึงเป็นอารมณ์หนึ่งเท่านั้น
ไม่ใช่สมาธิ สมาธิคือจิตมันตั้งมั่น ตั้งมั่นลงในปัจจุบันธรรม
เมื่อใดที่รักษาศีลด้วยสติ...ระลึกรู้ เห็นกาย...ยืนเดินนั่งนอน ด้วยความเป็นปกติกายนี่แหละ ไม่ขาดตกบกพร่อง สม่ำเสมอ
... จิตจะมั่นคงขึ้นตามลำดับ สมาธิจะแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ
เมื่อสมาธิแข็งแกร่ง
จิตตั้งมั่นอยู่กับกายปัจจุบัน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบัน...โดยที่ไม่คิด
ไม่นึก ไม่เอาอดีต ไม่เทียบกับอนาคตอะไรก็ตาม...ปัญญาจะเกิด เพราะมันจะเห็นกาย เห็นสิ่งที่ปรากฏนี่
ด้วยอาการที่ไม่คิด ไม่มีเหตุและไม่เอาผลกับมัน
เหมือนกับที่เราเห็นว่ามันนั่ง...ก็คือนั่ง
แค่นั้น ไม่มีใครนั่ง มีแต่นั่ง
มีแต่อาการทึบๆ ก้อนๆ แท่งๆ นั่นแหละปัญญาเกิดแล้ว คือเห็นความเป็นจริงแล้ว
ว่ากายจริงๆ คือแค่นี้แหละ นอกนั้นไม่จริง นอกนั้นจิตหลอก
มันก็จะเห็นซ้ำซากๆ อยู่อย่างนี้ ...เมื่อมันเห็นซ้ำซากอยู่อย่างนี้
มันจะเพิกถอนความเห็นผิดออกไป เพิกถอน
ลอกความเห็น...ที่มาทาบ มาทา มาทับ มาถม กับกายนี้ ที่มาปิดมาบังกายนี้ออกไปเอง
เวลาเราดูพระอาทิตย์น่ะ เนี่ย
ตอนนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ใช่มั้ย เพราะอะไรล่ะ เพราะมีเมฆบัง
เลยไม่เห็นดวงอาทิตย์ ก็รู้ว่ามีดวงอาทิตย์อยู่
แต่ยังไม่เห็นดวงอาทิตย์จริง เพราะมันยังมีอะไรบังอยู่
ถึงแม้จะมีพระอาทิตย์บางวัน บางครั้ง
ฟ้ามันใส เห็นแสงอาทิตย์ ก็ยังไม่เห็นพระอาทิตย์จริง เพราะยังมีอากาศบัง ใช่มั้ย
ยังไม่เห็นพระอาทิตย์จริงๆ นะ มันยังมองเห็นผ่านอากาศใช่มั้ย
แล้วเมื่อไหร่จะเห็นพระอาทิตย์จริงล่ะ ...ไปอยู่ในอวกาศสิ อันนี้เห็นพระอาทิตย์จริงแน่ๆ ไม่มีอะไรบัง ไม่มีอะไรบังเลย
มันจะเห็นเนื้อแท้ของพระอาทิตย์ ว่าเป็นอะไร เรียกว่าเห็นจริง เห็นพระอาทิตย์จริงๆ
ไม่ได้เห็นผ่านสิ่งที่ปิดบังพระอาทิตย์
เราอยู่กับกาย เรายังไม่เห็นกายจริง เรายังเห็นกายผ่านความเห็น
เรายังเห็นกายผ่านความเชื่อ เรายังเห็นกายผ่านความคิด ยังไม่เห็นกายจริงๆ เหมือนเห็นพระอาทิตย์ในอวกาศโดยไม่ผ่านอะไรเลย
เข้าใจมั้ย
การที่เราหยั่งลงไปในปัจจุบันโดยเป็นหนึ่ง
ไม่คิดไม่นึก ไม่มีความเห็น ไม่เอาเหตุไม่เอาผล มันจะเห็นพระอาทิตย์เหมือนอยู่ในอวกาศแล้วเห็นพระอาทิตย์
แล้วมันจะเอาอะไรมาเถียงไม่ได้เลยว่านี่คือพระอาทิตย์จริงๆ
แต่ก่อนที่เคยเห็นน่ะไม่จริง
แต่ก่อนที่เคยเข้าใจว่ากายเป็นอย่างนี้ๆ...ไม่จริง ว่ากายนี้สวย...ไม่จริง
ว่ากายนี้ไม่สวย...ไม่จริง ว่ากายนี้ขาวว่ากายนี้ดำ...ไม่จริง
ว่ากายนี้หนุ่มว่ากายนี้แก่...ไม่จริง ว่ากายนี้เป็นเรา ว่ากายนี้เป็นของเรา...ไม่จริง
กายจริงๆ ไม่ใช่อย่างนี้ เข้าใจมั้ย ...นี่คือมันไปเลิกละเพิกถอนสิ่งที่มันห่อหุ้มกาย
คือความคิดและความเห็นผิด
แต่ตอนนี้มันว่าถูกไง
มันเชื่ออย่างนั้น เพราะคนในโลกเขาเชื่อกันอย่างนี้ เขาบอกกันอย่างนี้
เขาสนับสนุนว่าใช่น่ะ เป็นผู้ชายก็ว่าเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็ว่าเป็นผู้หญิงจริง
ถ้ามาบอกว่าเป็นผู้ชายนี่มันบอกว่าไม่ใช่ มันเชื่อกันอย่างนี้
ระลึก...รู้ความปกติกายจริงๆ ลงไป ...มันก็จะไปปอก ไปถ่ายออก ถ่ายความเห็นออกไป
ถ่ายความคิดออกไป มันก็จะเห็นเนื้อแท้ของกาย...ว่าเป็นแค่ปกตินั่งนอนยืนเดิน
เป็นลักษณะอาการหนึ่งๆ เป็นเหมือนเป็นปรากฏการณ์หนึ่ง ปรากฏการณ์หนึ่ง ลอยๆ
เท่านั้นเองน่ะ
มันจะล้างความเห็นผิดออกไป
ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อมันเห็นกายอย่างนี้
หรือมันเชื่อว่ากายเป็นอย่างนี้ ตามความเป็นจริงที่เป็นอย่างนี้จริงๆ แล้ว
นั่นน่ะเขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิเกิด สัมมาทิฏฐิในกายเกิด
ความเห็นตรงเห็นชอบในกายเกิดแล้ว
เมื่อมีสัมมาทิฏฐิในกายเกิด
หมายความว่าทุกข์ที่เกิดจากความเห็นผิดในกาย...ดับ
ถ้าเรายังมองว่าเป็นผู้หญิงก็จะเป็นทุกข์
ถ้ายังมองว่าเป็นผู้ชายก็จะเป็นทุกข์ ถ้ายังมองว่าเป็นเรา ของเรา
ก็ยังเป็นทุกข์กับกายนี้อยู่ ถ้ายังมองว่าสวย-ไม่สวย
ก็ยังเป็นทุกข์กับกายนี้อยู่ ถ้ายังมองว่าแก่ว่าหนุ่มว่าดีว่าร้าย
ก็ยังจะเป็นทุกข์กับกายนี้
เมื่อใดที่มองไม่เห็นอาการพวกนี้บดบัง
ปุ๊บ นั่นล่ะจะไม่ทุกข์กับกายเลย มันจะเห็นเป็นธรรมชาติหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น ...เป็นธรรมดา
เป็นอะไรๆ สิ่งหนึ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ธุระของใคร
ไม่ใช่ภาระของใคร ไม่ใช่เรื่องของใคร เป็นอะไรๆ สิ่งหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น ... นี่
ทุกข์เบื้องต้นจะหมดไป จากตรงนี้
ลองนึกดูสิว่า ถ้าไม่รู้สึกว่าอันนี้เป็นตัวเราของเรา
ใครจะว่า ใครจะด่า ใครจะชม
มันก็เหมือนกับชมใครวะ ว่าใครวะ มันจะเดือดร้อนอะไร เพราะไม่ได้มีเราเป็นเจ้าของมันนี่
มีแต่ดินน้ำไฟลมอากาศ อุณหภูมิ ความว่าง อยู่ข้างในนี้เท่านั้นเอง
มันก็เป็นแค่สสาร
ถ้าพูดในภาษาวิทยาศาสตร์ก็ว่าเป็นสสาร
เป็นสารประกอบ เป็นองค์ประกอบของธาตุ แล้วก็ก่อรวมตัวเป็นโมเดล จับตัวกัน เป็นนุ่ม
เป็นแข็ง เป็นอ่อน เป็นไหว เป็นหยาบ เป็นละเอียดของมันไป นี่เป็นโมเดลของมันที่เกิดจากการรวมตัวของอะตอมหรือสสาร
...มันเป็นเราตรงไหนล่ะ หือ
เห็นมั้ยว่าจิตนี่มันไม่รู้
มันมาถือเอาดื้อๆ เลยนะ ว่านี่...ทั้งหมดนี่เป็นเรา ...ได้ยังไงล่ะ
ไปเชื่อมันได้ยังไงล่ะ แล้วยังเดือดร้อนแทนมันด้วยมัน
แล้วยังดีใจเสียใจกับมันด้วยนะ ว่าเป็นของเรา สมบัติของเรา มันเป็นสมบัติของเราตรงไหน
มันมีตรงไหนสสารนี่ หือ ของแข็ง ของเหลว ของอ่อน ของนิ่มนี่ หือ มันเป็นของเราได้ยังไง ...เลือดน่ะ
มันบ่งบอกตรงไหนว่าเป็นเลือดเราในความเป็นเลือดนะ เลือดก็คือเลือด เนื้อก็คือเนื้อ
หนังก็คือหนัง ผมก็คือผม ไม่เห็นมีอะไรบ่งบอกว่าเป็นเราของเราเลย เนี่ย
แต่มันไม่เชื่อ ไม่ยอมเชื่อ มันฝังหัว
สันดาน...เป็นขันธสันดานเลย มันยึดมั่นถือมั่น ยังไงๆ ก็เป็นเรา ยังไงๆ ก็บอกว่าเป็นเรานั่ง
แล้วก็เชื่อว่าเรานั่งอยู่นั่นน่ะ โง่มั้ยนั่น
หรือฉลาด
ถ้าฉลาดต้องดูดีๆ
อย่ามัวแต่ไปหาความสงบ อย่ามัวแต่ไปหาวิธีการภาวนา ปัญญาอยู่ตรงนี้ เอาให้เห็น
เอาให้รู้ตามความเป็นจริง เอาให้เห็นตามความเป็นจริง เอาให้ยอมรับตามความเป็นจริง
นั่นแหละ ไม่ต้องถามหาทุกข์หรอก
ทุกข์เกิดไม่ได้เลย ไม่รู้จะทุกข์กับอะไร ทุกข์กับดินเหรอ
เหอ ทุกข์กับน้ำเนี่ยนะ จะไปทุกข์กับดินกับน้ำเหรอ ทุกข์กับอุณหภูมิเย็นร้อนอุ่น
เบา ได้ยังไง ไม่ทุกข์หรอก ก็เรื่องของมัน
เพราะนั้นเอาง่ายๆ ว่า
รู้ตัวให้มากที่สุด ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอน ง่ายๆ และให้เท่าทันความคิด ความนึก ความอยาก
อย่าไปตามมัน อย่าไปหาอะไร
นอกจากกายยืนเดินนั่งนอน เหมือนโง่ เหมือนไม่รู้อะไรเลย และไม่ได้อะไรเลย ทำไปเหอะ
ลองดูสักตั้งนึง นะ แล้วจะเข้าใจมากขึ้นเอง
อย่ามัวแต่ไปนั่งหลับหูหลับตา
อย่ามัวแต่ไปนั่งค้นหาควานหาอะไร ไม่มีหรอก ธรรมในความมืดน่ะไม่มีหรอก
มันมีอยู่ตรงนี้ ก้อนนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมี เขาก็แสดงธรรมให้เห็น
ทำไมไม่สืบไม่ทราบ ไม่ค้นไม่หาดู ไม่สังเกต ไม่ถี่ถ้วนลงไป
นี่คือสติ กายานุสติปัฏฐาน รู้ลงไปในกาย นี่คือต้นเหตุเลยของทุกข์เบื้องต้น คือ "เรา" ถ้าเอา "เรา" ออกจากนี้เมื่อไหร่ สบาย ถ้าบอกว่าตอนนี้แบกไว้สองมือปากคาบ
มันก็จะทิ้งสองมือปากคาบไป เหลือแต่ตัวเปล่าๆ แล้ว เดินไปได้ง่ายแล้ว
แต่ตอนนี้เรามีมือก็แบก หลังค่อมปากคาบเท้าเกี่ยวลากไปลากมาอย่างนี้
หนัก หนัก "เรา" นั่นแหละ ...พอถอน พอวางออก ก็เหลือแต่กายเปล่าๆ แล้ว เดินไปเร็วขึ้นแล้ว
...นั่นแหละมรรคจะเกิด การเดินในองค์มรรคจะเดินไปตามครรลองตามเสต็ป
แต่ถ้าเรายังไปทำ ยังไปค้น ยังไปหา
ยังไปสร้าง ยังไปขวนขวายหาอะไร เหมือนเอาภาระมาแบก
เหมือนหาบเหมือนหาม เหมือนไอ้บ้า ...ถ้าฟังเทศน์หลวงปู่จะรู้ที่ท่านบอก ไอ้บ้าหาบหิน
'อันนั้นก็สวย อันนั้นก็งาม เออ ดี' เก็บขึ้นบ่า...หาบ 'อันนั้นก็น่าจะมีประโยชน์ใช้สอยได้ในวันข้างหน้า
ไอ้นั่นก็เอา'...เก็บ ไปๆ มาๆ จุกแอ้กเลย แบกไม่ขึ้น
ไปไม่รอด ไปไม่ได้ เพราะมันหนัก จะทิ้งก็ไม่กล้าทิ้ง...เสียดาย
เพราะเห็นคนอื่นเขาแบกกันเยอะแยะ
กลัวไม่เหมือนเขาไง กลัวไม่ได้อย่างเขา แล้วเขาเดินได้ ทำไมเราเดินไม่ได้
เสียใจอีกแล้ว แล้วจะทิ้งก็ไม่กล้าทิ้ง ...ไอ้บ้า นี่ ท่านถึงว่าบ้าแบกหิน
บอกให้นะ ที่แบกหินนี่ พอเข้าใจแล้ว ทิ้งหินแล้วนี่
ยังไม่พอ เดี๋ยวมันมาแบกฟางอีก เป็นไอ้บ้าหอบฟาง ยังมีฟางให้มันหอบอีก
ก็ต้องไปทิ้งฟางออกอีก ...พอทิ้งฟางแล้วมันยังถือถุงเปล่าไปอีก เอ้า มันบ้า
จิตนี่มันบ้าไปจนถึงที่สุดน่ะ
แต่ถ้าเรามาคาแค่แบกหิน หาหิน
เสาะหาหินดี หินสวย หินงาม มาสะสมอยู่นี่...ไปไหนไม่รอดหรอก ตายอยู่ในโลกนี่แหละ ...
ทิ้งซะ วางซะ ไม่เอาคือไม่เอา ไม่หาคือไม่หา ไม่ทำคือไม่ทำ
รู้เท่าที่มันปรากฏยืนเดินนั่งนอนแค่นี้ ง่าย สั้น ตรงที่สุด ไม่รู้จะตรงยังไงแล้ว
ตรงต่อธรรมนะ ไม่ใช่ตรงต่ออะไรหรอก ตรงต่อธรรมชาติที่ปรากฏตามความเป็นจริง ... ไม่ต้องมาเทียบ ไม่ต้องมาเคียง ไม่ต้องมาค้น
ไม่ต้องมาหา ไม่ต้องมาอะไรเลย
ยืน-รู้
นั่ง-รู้ เดิน-รู้ นอน-รู้ ขยับ-รู้ ไหว-รู้ นิ่ง-รู้ หลับตา กระพริบตา กลืนน้ำกินข้าว หยิบจับอ้าปาก
รู้ให้ทัน ดูมันๆ สังเกตมัน ดูอาการของมัน
ดูไปดูมาจะเห็นว่า ... เออ เฮ้ย
มันเหมือนหุ่นกระบอกเลยว่ะ ...ได้เรื่องแล้วๆ เริ่มได้เรื่องแล้วนะ ...เหมือนหุ่นยนต์
ดูไปดูมาเห็นกายเหมือนหุ่นยนต์ไปซะงั้น มันจะห่างออกไป
เหมือนเป็นก้อนอะไรก็ไม่รู้ “เอ๊ะ
มึงเป็นใครวะนี่”
มันจะเกิดความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา...ถ้าทำจริงนะ ถ้ารู้ตัวลงไปจริงๆ ดูไปจริงๆ ไม่คิดไม่นึกอะไรนะ ไม่เอามรรคเอาผล
ไม่เอาเหมือนคนอื่นเขา ไม่เอาสภาวธรรมอะไร ไม่เอาความสงบ-ไม่สงบ
ไม่เอาความรู้ยิ่งอะไรน่ะ รู้แค่นี้ สั้นๆ ตรงๆ
แล้วจะเข้าใจในตัวของมันเองว่า
ตัวมันเองน่ะคืออะไร แท้ที่จริงแล้วเป็นแค่สภาวะธาตุหนึ่ง เป็นแค่สภาวธรรมหนึ่ง
ที่เกิดๆ ดับๆ หาความเป็นตัวเป็นตนที่แท้จริงไม่มี แค่นั้นเอง สบายแล้ว
ทีนี้สบายขนาดนั้นแล้วหมายความว่า
ไม่มีที่ไหนที่ไม่กล้าไป ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วจะกลัว นี่ มันมีความอาจหาญ
ไม่กลัว ไม่กลัวในการที่จะเจออะไร เกิดอะไรขึ้น มันจะอาจหาญขึ้น
แล้วมันจะเข้าไปเพิกถอนเลิกละ
หรือว่าไอ้ที่มันยังหาบฟางอยู่ มันก็จะรื้อฟาง ขนฟางออกจากบ่าออกจากไหล่
คือนามทั้งหลายทั้งปวง คือผัสสะทั้งหลายทั้งปวง
คือความยึดมั่นถือมั่นในส่วนที่เป็นสภาวะ อดีต-อนาคตที่คาดที่เดาอยู่
นี่เป็นรายละเอียดในภายภาคหน้าที่มันจะต้องรื้อถอน
...ก็เหมือนกับที่รื้อถอนความเห็นในกายนี่แหละ เรื่องเดียวกันหมด
อย่าไปภาวนาเป็นแฟชั่นตามเขา
เดี๋ยวจะถูกหลอก มันเป็นเทรนด์น่ะ เดี๋ยวเทรนด์นั้นมา เดี๋ยวเทรนด์นี้ไป
เดี๋ยวก็องค์นั้นมา องค์นี้ก็ไป แต่ธรรมมีอยู่อันเดียว รู้อย่างเดียว แค่นั้นเอง
คือความเป็นจริงในปัจจุบัน อะไรเป็นปัจจุบันอันนั้นเป็นธรรม
ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม เขาสมมุติว่าดี
เขาสมมุติว่าไม่ดี เราให้ค่าว่าดี เราให้ค่าว่าไม่ดีก็ตาม แต่มันจริง เราต้องการอยู่กับความจริง
เราต้องการให้เห็นความจริง เราต้องการให้สืบค้นความเป็นจริง ด้วยความเป็นกลาง
ไม่ได้ด้วยเหตุและผล
ไม่ได้ด้วยเอาถูกเอาผิดเอาชนะคะคานกัน แต่ด้วยความเป็นสันติ เป็นกลาง รู้เฉยๆ
ดูเฉยๆ แล้วเข้าใจ
จะเข้าใจ ...ไม่ต้องมีใครมาบอกว่าต้องเข้าใจอะไร
มันจะเข้าใจเอง เพราะมันรู้เอง เห็นเอง มันรู้เอง มันเห็นเอง ไม่ต้องถามใคร
ไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องให้ใครมาหลอก มันรู้เอง มันเห็นเอง
เอาแล้ว พอแล้ว ไปฝึก ไปทำเอา
โยม – ต้องขอบพระคุณพระอาจารย์ ...สมกับการรอคอยมาเต็มที ทุกอย่างที่อยู่ในใจ ทุกปัญหา
วันนี้ได้รับคำตอบทุกอย่างแล้วเจ้าค่ะ
พระอาจารย์ – เปิดใจให้กว้าง อย่าไปตีกรอบกับตัวเอง อย่าเอาตัวเองไปขังกรงด้วยรูปแบบการปฏิบัติหรือวิธีการปฏิบัติ ...จะถูกขังคุก
ปลดปล่อยให้มันเป็นอิสระ
เป็นธรรมดา กลับมาคืนสู่ความเป็นธรรมดา
อยู่กับธรรมดา ... แล้วจะเข้าใจความเป็นจริงทั้งหลายทั้งปวง...ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง
………………..