วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 8/21 (2)


พระอาจารย์
8/21 (550722C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กรกฎาคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 8/21  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นี่เรียกว่าเสียทั้งสิทธิ์ทั้งโอกาส...ในการเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา แล้วยังเป็นศาสนาในช่วงที่ยังมีพระอริยะบุคคล ที่กล่าวตักเตือนสั่งสอนด้วยสัจธรรม

ถ้าล่วงไป ดันตายไปซะตอนนี้ ...แล้วถ้ามันไม่ได้เกิดเป็นคนทันทีเลยน่ะ เอ้า สมมุติว่าบุญบารมียังมีอยู่ ได้เกิดมาเป็นคน...แต่ลับหลังไปนี่สักร้อยสองร้อยปีถึงมาเกิดใหม่

ตอนนั้นจะเจอกี่หันต์ล่ะในโลก มันจะเหลือกี่หันต์ให้เจอล่ะ ...มันจะไปเจอแต่หันซ้ายหันขวา หันหน้าหันหลัง หันไปหันมาน่ะจะเยอะ ...แล้วทำไงล่ะ โอกาสยิ่งน้อย ริบหรี่ๆ ลงแล้ว

นี่ยังดีนะ ยังถือว่ายังมีแสงของพุทธะ ยังพอสาดส่องอยู่ ...แล้วถ้าหลุดห้าพันปีล่ะ นี่พุทธชยันตีแล้วใช่ไหม เขาว่ากันยังงั้นสองพันหกร้อย แล้วเหลืออีกกี่ปี (โยม – สองพันสี่ร้อย)

เออ แล้วถ้าหลุดนี่ล่ะ ต้องบอกว่า เฮอะ ไม่รู้จะไปตามค้นตามควานขึ้นมาได้ล่ะ ...มันหมดทั้งโอกาสไปเลย ถูกปิดโอกาสไปเลย เป็นระยะเวลา...ไม่ต้องนับเป็นอายุปีเลย

เวลาว่างจากพุทธันดรนึงนี่ รอยต่อของพุทธันดรนึงๆ ...พุทธันดร คือพระพุทธเจ้ามาตรัสแต่ละองค์ๆ นี่ ไม่ต้องนับเป็นตัวเลขเลย ไม่ต้องนับเป็นอายุขวบปีเลย เพราะมันนับไม่ถ้วน

ถึงบอกว่าบุญมั้ยนี่ ไม่ใช่บาปนะที่มาทน มาฟังให้เราว่าเราด่านี่ ...แต่หมดโอกาสนี้แล้วนะ ไม่รู้จะไปขุดกันมาจากภพไหนนะ มาฟัง

แล้วจิตนี่มันพาไปได้หมด สามโลกธาตุ ...ถ้ายังปล่อยให้มันล่องลอย เลื่อนลอยนี่ มันจะสร้างภพไปไม่จบไม่สิ้นเลย

ปะเหมาะเคราะห์ร้าย จังหวะนั้น..อารมณ์เป็นอย่างนั้นๆ จิตมันกำลังหวนระลึกหรือว่าคิดปรุงแต่งแต่ละเรื่องๆ ...ถ้าตายตอนนั้นทำยังไง

ไม่อยากได้ก็ต้องได้ รูปขันธ์นามขันธ์อย่างนั้นๆ น่ะ ...มันก็เป็นตัวที่..เขาเรียกว่าวัวปากคอกน่ะ

เหมือนมีคอกวัวล้านตัวอยู่ในคอก ...ถามว่าพอเปิดประตูคอกนี่วัวตัวไหนออกก่อน วัวแข็งแรงเหรอ หรือว่าวัวหนุ่ม หรือว่าวัวเด็ก หรือวัวที่มีเขาสวยๆ งามๆ ออกก่อนหรือ...ไม่ใช่

ไอ้วัวที่มันอยู่หน้าประตูคอกน่ะออกก่อน ...แล้วรู้มั้ย...วัวไหนอยู่หน้าประตูคอก  นึกว่าจะเป็นวัวงามๆ อู้ย ออกมาพละกำลังสวยงามเป็นที่นิยมชมชอบ ดันเป็นวัวง่อยเปลี้ยเสียขาก็ได้

มันออกก่อน เพราะมันอยู่ตรงนั้นพอดีน่ะ ...ไม่อยากออกก็ต้องออก เพราะทุกตัวมันดันจะออก  ก็กูอยู่ตรงนี้ กูไม่อยากออกก็ต้องออกก่อน ...ไม่อยากเกิดก็ต้องเกิดมาเป็นอย่างนั้น

เห็นมั้ย กรรม เราสร้างภพภายในไว้เท่าไหร่ไม่รู้ คิดแต่ละเรื่องๆ ได้บ้าง-ไม่ได้บ้าง สมประสงค์บ้าง-ไม่สมประสงค์บ้าง จิตกูเก็บไว้หมดแหละ ...กูนี่แหละเก็บไว้หมด

นั่นแหละ กี่ล้านคอกกี่ล้านตัวขังอยู่ข้างใน ...นี่ ภพข้างในที่มันขังอยู่ รอชาติจะกำเนิด

เอาง่ายๆ จากนี่กลับไปจะไปกินข้าวที่ไหน กลับไปกินข้าวบ้าน กลับไปกินข้าวที่ร้านนั้นร้านนี้ ต้องคิดก่อนใช่มั้ย จิตมันสร้างรูปนาม สร้างภพไว้รอแล้ว อนาคตข้างหน้า ไม่ไกลนี้ๆ

มันไม่คิดร้านเดียวหรอก ไอ้นั่นก็ดี ไอ้นี่ก็อร่อย ไอ้ร้านนั้นก็น่าจะดี สี่ห้าร้านว่าไป ...นี่ยังคิดอยู่นะ คือสร้างไว้ก่อน มโนไว้ คือสร้างภพไว้รอๆๆๆ ยังไม่ได้กินจริง ยังไปไม่ถึง

นั่งไปนั่งมา คุยกันไปคุยกันมา ลงสนับสนุนมรรคสมังคีเกิดขึ้นจากภายนอก ปึง “เอาวะร้านนี้ ข้าวมันไก่” ...ไป ก็ไปกินข้าวมันไก่ ได้กินข้าวมันไก่เหมือนกับที่คิดไว้ ...ปึ้ง กิน ได้รสชาติของข้าวมันไก่

ชาติบังเกิด รสจริง ได้ลิ้มรสจริง กินจริงอิ่มจริง หนาวร้อนเย็นจริงปรากฏเหมือนภพที่สร้าง คล้ายกับภพที่สร้างไว้ในจิต ...ภูมิใจดีใจ กูได้แล้ว กูทำสำเร็จแล้วกูๆ ...กูคือเรา ...นี่สำเร็จไปหนึ่งชาติแล้ว 

แล้วข้าวหน้าเป็ด ข้าวเหนียวส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ไอ้นั่นไอ้นี่ที่ยังไม่ได้กิน แต่กูคิดไว้...กี่ภพนี่ ก็พอดีไปอิ่มก่อน...ชาติไปบังเกิดกับข้าวมันไก่ซะแล้ว แล้วมันก็ล่วงไป

แต่ที่หมายไว้ไม่หายไปไหนนะ ...เอ้า กินข้าวมันไก่ติดคอตาย ชักดิ้นแหง่กๆๆ “กูยังไม่ได้กินข้าวหน้าเป็ดเลย” ยังคิดไว้อยู่ ...มันก็เกิดมาหาข้าวหน้าเป็ดกินแหละ บอกให้

เนี่ย ที่มันเก็บเป็นภพไว้อย่างเนี้ย เท่าไหร่ หือ รู้มั้ย...ไม่รู้ นับไม่ถ้วนไง  มันจึงสร้างภพภายในนี่ ไม่จบไม่สิ้นนะ จิตนี่ น่ากลัวนะ น่ากลัว

แต่ถ้าไม่พูดนี่ ไม่เห็นหรอก ไม่เข้าใจ งั้นๆ ...ไม่เห็นมีอะไร สบาย ลอยไปลอยมา นั่งสบายนอนสบาย ไม่เห็นต้องคิดอะไร ไม่มีอะไร๊ ...เอาไปเลย ภพชาติที่เกิดนับไม่ถ้วน รอได้เลย

มันอยู่ในนี้แหละ ไม่หายไปไหนหรอก ...วัน ณ  เวลา ณ  วันดีคืนดีเดี๋ยวก็หวนขึ้นมาแล้ว “ข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด” ไม่หายไปไหนนะ

มันรอให้จังหวะพร้อมพอเมื่อไหร่ นั่นแหละสงเคราะห์เมื่อไหร่ก็...ชาติจะบังเกิด

เพราะนั้นต้องระวังนะ ไม่งั้นมันก็จะเลื่อนลอยอยู่นี่ ...สร้างความน่าจะมี สร้างความน่าจะเป็นไว้ก่อน แต่ไม่รู้มันจะสำเร็จมั้ย

พอสำเร็จเมื่อไหร่ปุ๊บ ความยึดมั่นถือมั่นเกิดตรงนั้น ปัง ความเป็นเรา ความเป็นเขา ความเที่ยง ความครอบครองได้ในอาการนั้น รสชาตินั้น ความสุขนั้น ความทุกข์นั้น...บังเกิด

ก็ติดข้อง เป็นเราเป็นของเราได้ เป็นอัสมิ เป็นมานะ เป็นทิฏฐิ เป็นความเห็น ที่ว่าได้ สำเร็จ  เพราะว่าทำตามความอยาก ทำตามที่คิดไว้

ถ้าพระอริยะเจ้าทั้งหลาย ท่านถึงตรงนี้ ท่านส่ายหัวเลย ทั้งโลกมันอยู่กันอย่างนี้ ...เพราะนั้นมันไม่สามารถจำกัดชาติเกิดได้เลย

เพราะอะไร ...มันขยันสร้างชาติ มันขยันสร้างภพน่ะจิต เข้าใจมั้ย มันไม่ละภพชาติน่ะ ...แล้วจะมาถามว่าจะเหลือเจ็ดชาติเมื่อไหร่ อย่ามาถาม 

จะมาถามทำไม ...ถามตัวเองดิ มันอยู่เพื่อสร้างภพสร้างชาติ หรือมันดำรงชีวิตอยู่เพื่อละภพละชาติล่ะ ...ตัวเองตอบได้นะ

จะมาให้อาจารย์บอกว่าจะเหลือเจ็ดชาติเมื่อไหร่นี่ ...กูจะไปรู้มึงรึ หือ มึงเองมึงยังไม่รู้เลยว่ามึงสร้างภพหรือว่ามึงลดภพอยู่น่ะ มาถามกู...จะไปรู้รึ ตากูก็เห็นแค่นี้ จะไปตอบได้ยังไง ใช่มั้ย

ตัวเองนี่ ก็ถ้าปล่อยเลื่อนๆ ลอยๆ คิดนั่นคิดนี่ ไม่มีอะไรก็นั่งคิด ไม่มีอะไรก็นอนไปก็คิด นั่งก็คิด เดินก็คิด หาลู่ทาง หาแบบ หาภพ หาความสุขความสบายข้างหน้าข้างหลัง

ไม่ต้องถามว่ากี่ชาติ เพราะตอบไม่ได้ ...ไอ้ที่ตอบไม่ได้ของพวกเราคือ ไม่รู้กี่ชาติ เข้าใจมั้ย (หัวเราะ) มันนับไม่ได้ นับไม่ทัน

ขนาดตัวเองยังนับไม่ทันเลยว่าคิดวันนึงกี่เรื่องน่ะ ว่าความน่าจะเป็น เดี๋ยวเราจะได้อะไร เดี๋ยวเราจะทำอะไร เดี๋ยวใครจะทำอะไรกับเรา เดี๋ยวเราจะทำอะไรกับเขา

เดี๋ยวใครเขาจะพูดดีกับเรา เราจะเตรียมตัว เราจะตั้งท่าตั้งทางยังไง แล้วเราอยากจะได้อะไร อยากจะไปไหน อยากจะมีอะไร ...อู้ย อเนกชาติก็เกิดแล้ว

อย่านึกว่ามันไม่มีอะไรนะ ...ทุกอย่างมีเหตุและผล มีเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน  ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ แล้วก็ดับไปลอยๆ หรอกนะ ตราบใดที่ยังไม่อยู่เหนือขันธ์อยู่เหนือโลกนี่

เพราะนั้น ภาวะที่จะ...อะไรทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไร้สาระได้หมด คือภาวะของพระอริยะเจ้า พระอริยะบุคคลที่ท่านออกมาจากขันธ์ออกมาจากโลก

คืออยู่เหนือสภาวะเหล่านี้แล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยภาวะที่ไม่มีความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นกลางหมด ...นั่นแหละถึงจะวางใจได้

นี่พูดกันจนน้ำลายจะหมดปากแล้ว ก็ยังนับภพนับชาติไม่ถ้วนกันอยู่นี่ทุกคน ไม่รู้มันเป็นโรคอะไร ขยันคิดขยันปรุง ปล่อยให้มันหลง ปล่อยให้มันหาย นะ

เอ้า เอาแล้ว พอ เอาพอเข้าใจ 

(ถามโยม)นี่เป็นใคร อยู่ที่ไหน


โยม –  อยู่จันทบุรีค่ะ

พระอาจารย์ – ว่าไป ว่าอยู่จันทบุรี ...อยู่ที่นี่ ก็อยู่ที่นี่ (หัวเราะกัน) มาบอกว่าอยู่เมืองจันท์ ก็อยู่ที่นี่ก็ต้องอยู่ที่นี่  ไอ้ที่อยู่เมืองจันท์น่ะ จิตมันไปอยู่ ...ตอนนี้อยู่ไหน


โยม –  ที่นี่ค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ เมืองจันท์น่ะ มันจิตคิดไปเอง มันสร้างรูปที่จำได้ว่าเคยอยู่เมืองจันท์ ...เนี่ย คือถ้าถี่ถ้วนน่ะจะเข้าใจ ...นี่ เห็นมั้ยว่า เราใช้จิตจนคุ้นเคยมาก แล้วก็เชื่อว่าอยู่เมืองจันท์จริงๆ

แต่เราเชื่อว่าโยมน่ะอยู่ตรงนี้จริง เพราะเราไม่เห็นเมืองจันท์ เข้าใจรึเปล่า ..กายมันอยู่ตรงนี้ ก็ต้องอยู่ที่นี่ อย่าไปอยู่ที่จันท์ เดี๋ยวจะไปพระอาทิตย์นู่น

อยู่ที่นี่ อยู่ที่เดียว กายมีอันเดียว ไม่มีหลายกาย นะ กายมีกายเดียว ...อยู่ที่กายอันเดียว คือกายเดี๋ยวนี้

ต้องสร้างนิสัยอย่างนี้บ่อยๆ จึงจะเบิกทางมรรคได้ พอจะเห็นทางเล็ดลอดหลุดลอดออกจากสังสารวัฏได้

ถ้าไม่อยู่ตรงจุดนี้ หมายความว่า ไม่เห็นหนทางออกจากขันธ์และโลกได้เลย


..................................



วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 8/21 (1)


พระอาจารย์
8/21 (550722C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กรกฎาคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  กลับมาอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน ...กายตามความเป็นจริงในปัจจุบันคืออะไร ใจตามความเป็นจริงในปัจจุบันคืออะไร 

ให้มันรู้อยู่กับปัจจุบัน...ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ตามกำลัง ...แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายลงไปเอง ทุกข์ก็จะน้อยลง 

แล้วก็เข้าใจสิ่งต่างๆ นานา ตามความเป็นจริง...ไม่ใช่ตามความคิด ไม่ใช่ตามความเห็นมากขึ้น...ชัดเจน

เมื่อใดที่มันเกิดความรู้ความเข้าใจที่นอกเหนือจากความคิดและความเห็นนี่...เมื่อนั้นน่ะ ชัดเจน ...เมื่อใดที่มันชัดเจนแล้ว...เมื่อนั้นน่ะมันจะวางสิ่งนั้นเลย

เพราะอะไร  ...เพราะมันเห็นชัดเจนว่า ไม่มีอะไรในนี้ ไม่มีอะไรตรงนี้...มีแต่ความรู้สึกว่านั่ง ไม่มีเราในนั่ง ไม่มีเขาในนั่ง ไม่มีอะไรในนั่ง ...มีแต่นั่ง มีแต่ความรู้สึกว่านั่ง...มันชัดเจน

ตอนนี้ไม่ชัด ...เพราะมันแอบคิด ยังมีแอบคิด ยังมีแอบมีความเห็น ยังมีแอบสงสัย ยังมีแอบ ...จิตมันมีอีแอบมาแอบอิงอยู่ มันก็เลยคลุมๆ เครือๆ ไม่ชัดเจน มัวๆ ซึมๆ

อย่าท้อ ...รู้ซ้ำลงไป รู้อยู่ตรงนี้  จับมัน starve ไว้เลยจิตน่ะ ให้มันอยู่กับปัจจุบันกาย ปัจจุบันธรรมซะ

ถ้านั่งคิดนอนคิดว่า “เมื่อไหร่จะหายๆ” นี่ กายก็เท่าเก่า เวทนาในกายนี่ก็เท่าเก่า ...แต่ที่รู้อย่างหนึ่งน่ะ ขณะที่คิดว่า “เมื่อไหร่จะหาย” น่ะ...ทุกข์

ทุกข์เพราะอะไร ...มันแปรสภาพจากผู้รู้...เป็นผู้รอ ผู้รอคอย ...ถ้าเป็นผู้รอคอยก็เหมือนกับขอทาน แล้วใครจะเดินมาบริจาคสักทีล่ะ

ลองนึกเอาดูภาพซิ ขอทานถือกะลาไว้ แล้วก็รอให้มีใครผ่านมา แล้วก็หวังว่าใครจะหยอดสตางค์ให้ ...เนี่ย ผู้รอ ...ทุกข์เกิดแล้วตั้งแต่เป็นผู้รอ

เพราะมันรอสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงมั้ยในอนาคต ทุกข์บังเกิดขึ้นตั้งแต่คิดแล้ว ...นี่คือเหตุให้เกิดทุกข์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในอริยสัจสี่

แต่ถ้าผู้ปฏิบัติไม่รู้ไม่เห็นความจริงนี้ มันก็...แทนที่จะละเหตุแห่งทุกข์ มันกลับสร้างเหตุแห่งทุกข์ด้วยความไม่รู้ตัว

แล้วก็มาบ่นว่า...ทุกข์จัง ทำไมเป็นทุกข์เหลือเกิน จะออกจากทุกข์ยังไง จะแก้ทุกข์ยังไง จะหนีออกจากทุกข์ยังไง จะสลายทุกข์นี้ได้อย่างไร

จนกว่ามันจะเห็นว่าเหตุที่เกิดทุกข์คืออะไร...แล้วก็ละเหตุนั้นซะ ...อะไรเป็นเหตุที่เกิดทุกข์...ต้องเข้าใจ

ถ้ารักษากายก็ต้องไปหาหมอ ถ้ารักษาใจก็มา นี่ มียาธรรม...ธรรมโอสถ ศีลสมาธิปัญญา กินได้ตลอด เอาให้มาก ไม่มีคำว่าโอเวอร์โดส 

ยาอื่นนี่กินมากมันชัก มันช็อคได้นะ ใช่ป่าว เอาแน่ไม่ได้ บางทีไม่ถูกธาตุไม่ถูกขันธ์ก็ได้ แพ้ยาก็ได้แต่ยาธรรมโอสถนี่ ไม่มีแพ้ ชนะหมดสามโลกธาตุ ...ชิตังเม

นี่พระพุทธเจ้าถึงพูดได้เต็มปากเต็มคำ ชิตังเม ชนะแล้ว ...เพราะกินยานี้แหละ...ชนะ  ผลของการชนะ...คือไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ...ก็ชั่งหัวมึง ชั่งหัวขันธ์ กูไม่มาอยู่กับมึงอีกต่อไป เป็นอนันตกาล 

เนี่ย มันจะไม่บอกว่าชนะแล้วได้อย่างไร ...ผู้ที่กินยาจนเห็นผลก็ไม่กลัวแล้ว เพราะรู้ว่าจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ...ไม่กลัวตาย การตายครั้งนี้ขอให้เป็นการตายครั้งสุดท้าย

นี่ล่ะ อาจหาญ กินยาพระพุทธเจ้า...อาจหาญ ...ไม่ใช่กินแล้วยิ่งหดหู่ท้อถอย "เมื่อไหร่จะหายๆ" อยู่ด้วยความท้อถอย...ไม่ได้ ...เอาแต่ร้อง “ตายแล้วๆๆ” นี่ กลัวตาย ...กลัวตายก็เกิดแน่ๆ 

กายมันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ มันไม่ดีกว่านี้แล้ว บอกให้เลย ...อย่าไปหวังว่า คาดว่ากับมัน จะซื้อรางวัลที่หนึ่ง ก็ไม่รู้มันจะได้มั้ย ซื้อมากี่ครั้งแล้วไม่เห็นถูกสักที ...เนี่ย อย่าไปคาดหวังอะไรกับมัน

ก็ทำหน้าที่ให้มันถูกกับกาลเทศะ คือกินยาของพระพุทธเจ้าเยอะๆ รู้ตัวๆๆ ไม่คิดๆๆ ...หายก็ชั่ง ไม่หายก็ชั่ง ตายก็ชั่ง ไม่ตายก็ชั่ง กูจะรู้ของกูอย่างเงี้ย

นั่นแหละ เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งไว้ เดี๋ยวก็ได้ประกาศก้องสามโลกว่า ชนะแล้วๆ ...แต่อย่าไปประกาศตอนที่นอนโรงพยาบาลนะ เดี๋ยวเขาจับเข้าโรงพยาบาลบ้า (หัวเราะกัน)

ใจน่ะมันจะประกาศของมันเอง ...นู่น คนกล้าประกาศต้องหลวงตาบัว ท่านเขียนขึ้นป้ายประกาศติดหน้าวัดไว้เลย “ไม่กลับมาเกิดอีกแล้วเป็นอนันตกาล” ...นี่ ไม่อายใคร ของจริงน่ะ

แต่พวกเรานี่...ไม่กล้าพูด  เพราะรู้อยู่ทุกคนในใจว่าเกิดแน่ๆ ยังไงกูต้องมาเกิดอยู่แล้ว ...แต่คราวนี้ว่าเกิดแน่ๆ อยู่แล้วนี่ แล้วเราถามว่า รู้มั้ยว่าจะเกิดเป็นอะไร ...ไม่มีใครรู้

รู้มั้ยว่าจะเกิดสภาพแย่กว่านี้ หรือดีกว่านี้ ไม่รู้เหมือนกัน ...น่ากลัวนะ เราไม่รู้เลยนะว่า กรรมมันจะตกแต่งขันธ์ใหม่ให้เราอย่างไร

เคยทำกรรมอะไรไว้ด้วยความจงใจเจตนา อันไหนมากกว่าอันไหนน้อยกว่า รอรับได้เลย ...อย่างที่นั่งอยู่แปดเก้าคนนี่ หน้าตามันไม่เห็นเหมือนกันสักคน ทำไมล่ะ อะไรเป็นตัวจำกัด

กรรม...เป็นตัวตกแต่งขันธ์ให้ แล้วรู้มั้ยกรรมอะไรตกแต่งขันธ์ให้ได้อย่างนี้ ....ขนาดปัจจุบันยังไม่รู้เลย ไม่ต้องถามว่าข้างหน้าจะได้หน้าตายังไง

จะเหมือนปลาจวด เหมือนจวัก หรือว่าจะสวยเหมือนนางงามจักรวาล ใครจะไปรู้  หรือว่ามีสี่ขา มีหางแถม ใครจะไปรู้...ไม่แน่  เห็นมั้ย หาความแน่นอนไม่ได้  ...น่ากลัวนะการเกิด

ถึงบอกว่าการเกิดเป็นทุกข์นะ ...ไม่ใช่ทุกข์แค่มาเป็นคนแล้วเป็นทุกข์นะ เกิดเป็นอะไรยังไม่รู้เลย นี่ ก็เป็นทุกข์ 

แล้วเกิดมาจะได้พบพุทธศาสนามั้ย จะได้ฟังธรรมอีกมั้ย ไอ้คนที่มาแสดงธรรมให้มันจะจริงมั้ย ดูน่าเชื่อ แต่ไม่จริงก็ได้  ไม่น่าเชื่อแต่เสือกจริงก็ได้ เอาไงล่ะ ...ใครจะไปรู้ข้างหน้าข้างหลัง

ตอนนี้สำคัญที่สุดแล้ว ได้โอกาส ...คุณได้สิทธิ์ คุณได้โอกาสและสิทธิ์...แต่คุณสละสิทธิ์ซะอย่างงั้น ไอ้นี่โคตรโง่เลย

คนไม่ได้นับถือพุทธ เขาได้สิทธิ์ในการเกิดมาเป็นคน มีกายมีขันธ์ห้าเพื่อให้ได้เรียนรู้ความเป็นจริง เขาได้สิทธิ์แล้ว เขาได้สิทธิ์...แต่เขาไม่มีโอกาส เพราะความเชื่อความเห็นถูกปิดบัง

ด้วยลัทธิศรัทธาที่นอกเหนือความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่ากายนี้เป็นอย่างนี้ กายนี้เป็นศีลอย่างนี้ สมาธิคืออย่างนี้ ถ้าจดจ่ออยู่กับกายใจปัจจุบันนี้ จึงจะเข้าใจความเป็นจริงอย่างนี้

แต่เขาปฏิเสธด้วยความคิดความเห็น ทั้งๆ ที่เขามีสิทธิ์ นี่คือเขาได้สิทธิ์...แต่ไม่มีโอกาส ...ก็ไม่ว่ากัน แล้วไม่สมควรจะว่าด้วย เพราะเขาไม่มีโอกาสจริงๆ ทั้งๆ ที่เขามีสิทธิ์อยู่แล้วเท่ากันทุกคนไป

แต่พวกเรา...ได้ทั้งสิทธิ์ แล้วก็ได้ทั้งโอกาส ได้มาเกิดในเมืองไทยที่ยังมีศาสนาพุทธ มีผู้ปฏิบัติตามเห็นผล จนเป็นพระอริยะเบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องต่ำ เบื้องสูง จนถึงที่สุด ปรากฏให้เห็นคาหูคาตา

นี่เรียกว่ามีโอกาส ได้โอกาสแล้ว แล้วยังมีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านอีก ...ก็มีทั้งโอกาส มีทั้งสิทธิ์ ...แต่สละสิทธิ์ซะอย่างงั้นน่ะ

ถ้าจะด่านี่สมควรด่าใคร ก็ด่าพวกเรานี่แหละ ...ไม่ไปด่าคนนอกศาสนาหรอก เพราะเขาไม่มีโอกาส ...ต้องรอให้มาเกิดใหม่ แล้วก็สร้างบุญบารมีขึ้นมา จึงจะมาได้ยินได้ฟังใหม่

ไอ้พวกเรานี่ไม่ต้องรอแล้วน่ะ ...แต่กลับละเลิกเพิกเฉย สิทธิ์ที่พึงมีพึงได้ซะอย่างงั้น

เกิดมามีกายมาตั้งแต่เกิด อายุจนป่านนี้ เกินครึ่ง ค่อนนึงแล้วนี่ที่ผ่านมาทั้งหมดน่ะ ...แต่รู้ตัว รู้กาย ดูกายนี้...ไม่ต้องถามเป็นวัน เอาว่าโดยรวมได้กี่นาที

เห็นมั้ย มันหมดโอกาสไปแล้ว ที่จะสำเหนียกลงในกายปัจจุบัน สร้างความรู้ความเห็นที่ชอบกับกายที่อยู่ในปัจจุบัน นี่ มันเอาคืนไม่ได้แล้วนะ หลายสิบปีที่ล่วงมา 

แล้วยังเหลืออีกเท่าไหร่...ก็ไม่รู้ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อายุจะสั้น อายุจะยาวกว่านี้...ก็ไม่รู้ 

กลับปล่อยให้มันล่องลอย เลื่อนลอย เผลอเพลิน คิดนั่นคิดนี่คิดโน่น คิดอดีตคิดอนาคต ...ไม่อยู่กับร่องกับรอยคือกายใจปัจจุบัน


(ต่อแทร็ก 8/21  ช่วง 2)



วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 8/20 (2)


พระอาจารย์
8/20 (550722B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กรกฎาคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 8/20  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  ศีลนี้ สมาธินี้ แม้จะฝึกครั้งหนึ่งชาติหนึ่ง ก็จะไม่หายไปไหน ...จะติดสอยห้อยตามไปทุกภพทุกชาติ ตราบเท่านิพพานจะบังเกิดขึ้นกับจิตดวงนั้นเลย

อย่าไปประมาทว่า...แค่รู้นิดๆ หน่อยๆ นี่เหรอ แค่กลับมารู้บ้างไม่รู้บ้างนี่ ไม่เห็นมีประโยชน์ ไม่เห็นมีผลอย่างใดเลย

จิตมันก็คอยมาขวางการประพฤติดี ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อจะให้หลุดพ้นจากกรงขังของวัฏฏะ ...แล้วเราก็คล้อยตามกับมันทุกครั้งไป..ที่จิตมันบอกแนะนำสั่งสอน

มันก็เลยกลายเป็นการลบหลู่พระธรรม ลบหลู่พระพุทธเจ้าไป ...กลับเชื่อจิตมากกว่าเชื่อธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำว่ามีคุณอย่างนี้ๆๆ

ศีลมีคุณอย่างนี้นะ สติมีคุณอย่างนี้นะ สมาธิมีคุณอย่างนี้นะ ปัญญามีคุณอย่างนี้นะ

พอจิตบอกว่า ไม่เอาแล้ว เบื่อ ยาก ไม่ได้อะไรหรอก แค่รู้นิดๆ หน่อยๆ นี่ แค่กลับมาหยุดโดยที่ไม่คิดไม่ปรุงแค่นี้ ไม่เห็นมันจะมีมรรคผลนิพพานเกิดขึ้นเลย ไม่ทำแล้ว ไม่เอาแล้ว ทิ้งเลย

นี่เขาเรียกว่าไม่เคารพในพระรัตนตรัย กลับไปเคารพจิตอวิชชาตัณหาและอุปาทาน ...คือมันนบนอบบูชากิเลสความไม่รู้นี่เป็นอาจารย์ใหญ่ของมัน ... มันคือเรา..เราคือมัน ทุกคนน่ะแหละ

ยามันเลยไม่ค่อยให้ผล มันก็เลยเป็นยาของกิเลสเสี้ยมสอนไป ...มันพาไปไหน มันก็บอกว่าจะเป็นสุข มีความสนุกเพลิดเพลิน มีอะไรที่ดีกว่า เหนือกว่า เลิศกว่า ประเสริฐกว่า สบายกว่า

สุดท้ายก็ทุกข์ทุกครั้งน่ะ สุดท้ายก็ทุกข์ ...ข้างหน้านี่หน้าตามันดูดี๊ดูดี  กลางๆ ก็ค่อยๆ ออกแววออกลาย  พอที่สุดแล้วทุกข์ทุกเรื่องเลย เป็นทุกข์ไป...เป็นที่สุดทุกครั้งไป

ก็ไม่เข็ด ก็ไม่หลาบ ก็ไม่จำ ...เดี๋ยวเอาใหม่ คิดใหม่อีก ทำใหม่อีก เผลอเพลินไปกับความคิดอีก เผลอเพลินไปกับความน่าจะมีน่าจะเป็นในอดีต-อนาคตที่จิตมันสรรค์สร้างปรุงแต่งขึ้นมา

แล้วก็ทุกข์อีก “เมื่อไหร่จะเป็นอย่างนั้นนะ เมื่อไหร่จะได้สภาวะนี้นะ เมื่อไหร่จิตจะเป็นอย่างงั้น เมื่อไหร่จิตจะดี เมื่อไหร่จะไม่เป็นทุกข์ เมื่อไหร่จะหมดทุกข์

เมื่อไหร่จะรวย เมื่อไหร่จะมีเงิน เมื่อไหร่จะสบายซะที เมื่อไหร่เรื่องราวต่างๆ จะหมด ปัญหาจะหมดไป” ...นั่น มีแต่คิดกับคิดๆ มีแต่หากับหา

มีแต่กระโจนไปกระโจนมาเหมือนแมวไล่ตะปบหนู ...ไม่ทัน หายทุกทีไป ...ไม่ได้อะไร ได้แต่ทุกข์กลับคืนมา ไม่สมหวัง ไม่สมที่คาดไว้ ที่คิดไว้

หรือว่าได้ตามที่หวังไว้ที่คาดไว้ ...ก็ได้แป๊บเดียว แล้วก็หมดไปหายไปต่อหน้าต่อตาเลย ความสุขที่คิดว่ามี คิดว่าได้ คิดว่าคงอยู่ก็หายไป หมดไป

ยังคงไว้แต่ความอาลัยอาวรณ์ ตรอมตรม เศร้าหมอง เพราะไม่เข้าใจว่า เนี่ย มันเป็นอย่างนี้

แต่ถ้ากินยาพระพุทธเจ้าแล้วนี่ ทุกข์จะน้อยลงตามลำดับ...จนถึงภาวะที่เรียกว่าหมดไปสิ้นไปจากใจดวงนี้ 

แต่มันก็ยากหน่อย เพราะมันฝืนกับความเคยชิน ...คือถ้ามันง่ายก็คงไม่มีใครอยู่ในโลกนี้แล้วแหละ ไปนิพพานกันหมดแล้ว ก็ยังเห็นเดินกันโทงเทงๆ กันอยู่นี่ เกะกะๆ เก้ๆ กังๆ กันไปกันมา ตายเกิด–เกิดตาย

ก็เพราะมันยากไง เพราะคิดว่ามันยาก ...ก็เลยรอ  รอวันนั้นค่อยทำ กินข้าวอิ่มก่อนค่อยทำ อาบน้ำเสร็จก่อนค่อยทำ อยู่คนเดียวก่อนค่อยทำ ก่อนนอนก่อนค่อยทำ

เอ้า นอนหลับก่อนค่อยทำ ตื่นนอนก่อนค่อยทำ ส่งลูกไปโรงเรียนก่อนค่อยทำ ใกล้ตายแล้วค่อยทำ ...อ้าว ตายซะแล้ว เลยไม่ได้ทำ (หัวเราะ) ...เอ้า เป็นงั้นไป

ก็ว่าชาติหน้าค่อยๆ ทำ เพราะว่าชาตินี้บารมียังไม่พอ ...เอ้า ไป ไปเหอะ มันถึงขลั่กกันอยู่ในโลกนี้ ผัดวันประกันพรุ่งกัน 

ก็บอกว่ารู้ตรงนี้ รู้ที่นี่ รู้เดี๋ยวนี้ ...ทำไม มันรู้ยากรู้เย็นรึไง มันจะชักดิ้นตายไปรึไง ถ้ามันจะรู้อยู่ตรงนี้ หือ ...ต้องรอไปรู้เอานู่น

“กลับไปบ้านก่อนค่อยรู้นะ ฟังอาจารย์อยู่ก็ไม่รู้หรอก เดี๋ยวให้กลับบ้านก่อน  เพราะระหว่างที่ฟังอาจารย์อยู่นี่มันรู้ไม่ค่อยได้หรอก มันไม่ค่อยดี”

มันเป็นโรคอะไรนี่ หือ อยู่ไม่ได้ปัจจุบัน ต้องรอให้ถึงบ้านก่อนค่อยอยู่ในปัจจุบัน พอไปถึงบ้านก็บอกว่า อู้ย งานอีกตั้งเยอะแยะ ทำงานก่อน ผ้าก็ยังไม่ได้ซัก ข้าวก็ยังไม่ได้หุง จานก็ยังไม่ได้ล้าง

ทำไม ...ล้างจานมันรู้ตัวไม่ได้รึไง ทำกับข้าวมันรู้ตัวไม่ได้รึไง ขับรถนั่งอยู่ในรถก็มันรู้มีสติไม่ได้หรือยังไง มันหยุดอยู่กับตรงนั้นไม่ได้หรือไง

ถ้าอย่างนั้นน่ะ มันจะมีที่หยุดที่อยู่ได้มั้ยในโลกนี้ มัวแต่รอ ...ขนาดพะงาบๆ จะตายอยู่รอมร่อแล้ว ยังบอก “ขอชาติหน้ามาเกิดมาภาวนาใหม่ล่ะกัน”

มันเป็นอย่างเงี้ย คนมันถึงหกเจ็ดพันล้านคน..เฉพาะคนนะ ไอ้จ่อคิวมาเกิดอีกนับไม่ถ้วน ร่อนเร่พเนจรทั้งภพสูงภพต่ำ หมาอีกสัตว์อีก ขยันเกิดกันจริงๆ ...ทำไมขยันไม่เกิดไม่มีรึไง หือ

ไอ้ขยันเกิดนี่ไม่ต้องสอนเลยนะ ตั้งอกตั้งใจทำกันจริงๆ ...แต่ไอ้ขยันไม่เกิดไม่ตายนี่ หรือขยันที่จะไม่ให้มันไปเกิดกับอะไรนี่ ไม่ค่อยเอาน่ะ

เอะอะๆ..คิด เอะอะๆ..มีอารมณ์ เอะอะๆ..ทำตามความคิด เอะอะๆ..ทำตามอารมณ์ ...อันนี้ไม่ต้องสอน เป็นกันทั้งโลก เขาเรียกว่าโรคบ้า โรคหลง โรคมัวเมา โรคประมาท มันอยู่ในขันธสันดาน

พระพุทธเจ้าก็มาตรัสแล้วตรัสเล่า ท่านเปรียบว่าพระพุทธเจ้านี่มากมายมหาศาลเหมือนเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรน่ะ ยังขนสัตว์โลกไปไม่หมด มันขยันเกิดขยันอยู่กันจริงๆ

จะเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่นี่ ไม่ไปไหนอ่ะ จะมาเฝ้าพ่อเฝ้าแม่ เฝ้าลูกเฝ้าหลาน เฝ้าทรัพย์เฝ้าสมบัติอยู่ในโลกนี่ ...แล้วก็เอาไปไหนไม่ได้ ตายแล้วก็ฝาก “เดี๋ยวกูมาเอาคืน”

เพราะอะไร ...มันเอาไปไม่ได้ ก็ยังไม่รู้อีก  มันเอาไปไม่ได้ มันไม่ใช่ของเรา “เดี๋ยวกูมาเอาคืน ตอนนี้เอาไปไม่ได้ เดี๋ยวชาติหน้ามาเอา” จิตมันนึกของมันอย่างนั้น นี่ มันไม่โง่ก็คงเรียกว่าฉลาดล่ะมั้ง

พระพุทธเจ้าถึงว่าจิตไม่รู้คือจิตที่โง่เขลาเบาปัญญา ...แต่เรากลับเชื่อมันมากกว่าจิตผู้รู้ ผู้ที่เห็นความจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ว่ามันเป็นอย่างไร

เหมือนกับมันนั่งอยู่นี่ อะไรมันนั่ง ...ไม่ต้องคิด ไม่ต้องมีความเห็น มันก็เป็นก้อนอะไรก้อนหนึ่ง มันเป็นกอง กองหนึ่งที่ปรากฏ มีน้ำหนัก มีมวลอยู่ ลมพัดมากระทบก็รู้สึกวูบนึงที

ก็แค่เนี้ย มันยากตรงไหนที่จะมารู้กับความจริงที่ปรากฏ...ไม่ต้องไปค้น ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปทำขึ้นมาใหม่ ...มันกลายเป็นของยากไปนี่

แต่การคิดไปในอดีต-อนาคตน่ะ กลับกลายเป็นของง่าย มันคิดว่าง่าย ...แต่เอาเข้าจริงนี่ มันเคยทำได้ตามความคิดมั้ยล่ะ ไม่เคยได้สักที ได้ก็ได้เฉียดๆ

นี่ ได้แต่เฉียดไปเฉียดมาๆ ไม่เห็นมันตรงเลย นั่นแหละมันยากยิ่งกว่า ...ที่ทำแล้วมันได้เหมือนกับความคิดเป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มน่ะ...ไม่มีเลย

เคลื่อนไปคลาดมา ...หวังว่าจะถูกเลขท้ายสองตัว...กินเรียบ หวังสูงหน่อยเอ้า สักสามตัว นี่ อุตส่าห์แทงกลับหน้ากลับหลัง...กินเรียบ ...เนี่ย ความคิดมันเป็นเหมือนแทงหวยน่ะ ก็ยังไม่เลิก

ไอ้พวกเราก็ติดหวยน่ะ คือขยันคิดอยู่นั้น ทั้งที่ไม่เคยตรงไม่เคยถูกเลย ถูกกินรวบๆๆ ...คือกะว่าแทงเต็งแล้วนะ เต็งหนึ่งๆๆ ทุกงวด ...ก็โดนกินทุกงวด

ยังไม่รู้อีกเหรอ ว่าความคิดน่ะมันไม่มีจริง มันรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความไม่รู้ ด้วยการคาดคะเน ...มันประมาณไม่ได้ ไม่รู้มันจะเกิดขึ้นจริงรึเปล่า

แล้วความจริงอยู่ไหนล่ะ อะไรมันจริงล่ะ มันอยู่ตรงนี้ อะไรที่มันอยู่นี่..จริง อะไรที่ได้ยินอยู่ตรงนี้..จริง อะไรที่เห็นอยู่ตรงนี้..จริง อะไรที่มันปรากฏอยู่ตรงนี้..จริง ...ทำไมไม่อยู่กับความจริงนี้

เพราะมันมีเชื้อโรคอยู่ข้างในไง มันก็ผลักให้ไปหาความไม่จริงข้างหน้าข้างหลังอยู่นั่นน่ะ  แล้วมันก็สร้างภาพเสมือนจริง ดีกว่าตรงนี้ขึ้นมา

ถูกหลอก ...แล้วก็ยอมให้เขาหลอก แล้วก็ตั้งใจจะถูกหลอกด้วย


(ต่อแทร็ก 8/21)