วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 8/18 (1)


พระอาจารย์
8/18 (550707C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
7 กรกฎาคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  การปฏิบัติ อย่าไปทำให้มันยาก  เอากายอันเดียว รู้อันเดียว ... รู้ปกติกาย ก็ไม่ได้ยาก เพราะมันไม่ต้องหา ปกติยังไงก็ยังงั้น

ตรงไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ...ภายในกาย ตรงไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ...ภายนอก ที่ไหนก็ได้ ที่บ้านที่รถที่เรือที่นั่ง ตรงไหนก็ได้ สถานที่ไหนก็ได้ ไม่เลือก

เห็นมั้ย ในกายเหมือนกัน มันมีความรู้สึกอะไรปรากฏตรงไหน รู้ไปดูไป ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่หาเหตุไม่หาผล ไม่เอาถูกไม่เอาผิด ไม่เอาเหมือน-ไม่เอาไม่เหมือนกับอะไร...กับใคร

ใครเขาว่ากายเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเห็นกายอย่างนั้นอย่างนี้ กายเขาดับไป หายไป กายเขาสว่าง กายเขาใหญ่ กายเขาเล็ก กายเขาแตก กายเขาเป็นกระดูก เป็นอสุภะ หลุดร่วงร่อยหรอไป หายไป 

ไม่สนใจ ไม่ต้องไปเทียบกับอะไร ...รู้สึกยังไงก็เท่านั้นน่ะ อยู่อย่างนั้น ...เพราะนอกนั้นเป็นกายที่ไม่จริง เป็นกายที่เกิดขึ้นจากกายสังขาร...ด้วยอำนาจของจิตสังขาร 

ไม่เอา...ไม่เอากายสังขาร ไม่เอาจิตสังขาร ...เอากายหนึ่ง กายเดียว เอากายตามความเป็นจริง

ก็ยืนอยู่ในหลักนี้...ไม่ช้าและก็ไม่เร็ว มันก็เป็นไปตามธรรมนั่นแหละ สมควรตามธรรม ....ขาดไป หลงไป หายไป...เอาใหม่ จะเอาใหม่กี่ล้านครั้ง ชั่งมัน เอาใหม่อยู่นั่นแหละ 

เหมือนแผ่นเสียงตกร่องน่ะ ให้มันอยู่ตรงนั้นแหละ ...ไม่ใช่ ฮื้อ เบื่อแล้ว เปลี่ยนแผ่นเสียงใหม่ เอ้า มากหลายวิธีการอีก เป็นอย่างนั้นน่ะ คอยหาแผ่นเสียงใหม่มาเปิดหาเพลงเพราะๆ ฟัง ...เดี๋ยวมันก็ตกร่องอีก

อยู่ร่องนี้แหละๆ ร่องกายใจปัจจุบันนี่แหละ ...กลับมาอีกๆๆ ระลึกขึ้นมาใหม่ๆ เอาให้มันสม่ำเสมอต่อเนื่อง เอาจนมันเหลือกายเดียวจริงๆ ...แล้วจะเข้าใจเองแหละ 

อ๋อ นี้เองที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นกายตามความเป็นจริงคืออะไร ...นี่ แล้วจะเข้าใจว่ากายตามความเป็นจริงนั้นไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราแต่ประการใด 

แต่มันไม่เชื่อ ...เพราะมันไม่เห็น มันไม่เห็นกายเดียว มันไม่เป็นหนึ่งกับกายเดียว ...ความเชื่อความเห็นที่เป็นสัมมานี้จึงไม่บังเกิด จึงลังเลสงสัย

มันก็ลังเลสงสัย...กายอย่างนี้กายอย่างนั้น เราอย่างนั้น-เราอย่างนี้ ถ้าเราอย่างนั้น-ถ้าเราอย่างนี้ ...ไอ้เราน่ะมันมีกายติดอยู่ในเราด้วย เดี๋ยวเราไปอย่างนั้น เดี๋ยวเราไปอย่างนี้ ถ้าเราทำวิธีนั้น ถ้าเราทำวิธีนี้ 

มันกี่กายเข้าไปแล้วล่ะ ...มันเลยเกิดความลังเลสงสัย มึนๆ งงๆ ซึมๆ เซอร์ๆ เซ่อๆ ซ่าๆ  ไม่รู้อะไรจริงอะไรไม่จริง งงไปหมด สับสนอลหม่าน

แต่ถ้ามันเหลือกายเดียวกายหนึ่งแล้วนี่ แล้วก็จิตให้เป็นหนึ่งอยู่กับกายนั้นน่ะ เอามันซักรอบนึง มันจะไม่เข้าใจได้ยังไง ว่ากายนี้คืออะไร เป็นของใคร หรือไม่เป็นของใคร

อย่าว่าแต่เป็นใครของใครเลย ...มันไม่มีความเป็นสัตว์และบุคคลด้วยซ้ำ เหมือนเป็นซากอะไรก็ไม่รู้ เย็นร้อนอ่อนแข็งไหวนิ่งติงขยับ ก็แค่เนี้ย หือ ทำไมถึงบ้าบออะไรกับมันมากมายนักหนา

เพราะมันไปอยู่กับกายไม่จริง มันเลยมีตัวตน รูปลักษณ์ ทรวดทรง สัณฐาน สิ่งที่ประดับประดาในกายนั้นๆ ...Accessory เยอะน่ะ 

จิตเป็นอย่างนั้น จิตจะเป็นอย่างนี้ ธรรมเป็นอย่างนี้  มีคนห้อมล้อม มีคนชมมีคนด่า...ในกายที่มันสร้าง มโนภาพของมันขึ้นมาเป็นรูป ...เห็นรึเปล่า มันติดรูปกายที่ไม่จริง

เมื่ออยู่ที่กายเดียว มันก็จะละรูปกายไปเองโดยปริยาย ...ถ้าแจ้งเรื่องกายนี้ก็แจ้งหมดน่ะ ไม่ต้องไปถามเรื่องอื่นน่ะ  เพราะในระหว่างที่มันเรียนรู้กายเดียวนี่ มันละจิตไปพร้อมกันน่ะแหละ

ไม่ละก็ต้องละ ...เพราะจิตมันก็คอยจะสร้างรูปกายขึ้นมาตลอดน่ะ รูปกายคนนั้นรูปกายคนนี้  แล้วเมื่อมีรูปกายคนนั้นรูปกายคนนี้ มันก็มีอารมณ์มีเวทนาในรูปกายคนนั้นรูปกายคนนี้

เมื่อใดที่เราคิดไปข้างหน้าข้างหลัง มันก็มีตัวเราอยู่ข้างหน้าข้างหลัง มันก็มีอารมณ์อยู่ในตัวเราข้างหน้าข้างหลัง ...นั่น มันก็จิตทั้งนั้นน่ะ มันก็เกิดจากรูปกายนั่นแหละ 

ไม่ใช่ว่าจิตมันจะไปเสวยอารมณ์ล้วนๆ ได้ มันแบก มันหาบมันหามรูปกายไปด้วย ...เมื่อใดที่มันมาละรูปกายแล้วนี่ คืออย่างต่ำก็อนาคามี อย่างสูงก็อรหันต์ ...นั่น มันก็ละได้หมดด้วยรูปกายนี่แหละ

ที่เดียวนี่แหละ ...ให้มันเหลือกายเดียวเมื่อไหร่ ไม่ต้องไปถามเลยว่า มันจะไม่มีปัญญายังไง มันจะต้องไปหาปัญญาตรงไหน ...มันก็เกิดตรงที่รูปกายนี่ดับ ...เมื่อใดที่รูปกายดับ นี่แหละ ปัญญาเกิดแล้ว 

เพราะรูปกายมันเกิดขึ้นจากจิตมันสร้างขึ้นมา ...ถ้ารูปกายดับหมายความว่าจิตดับ ...จิตดับ...ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับ กิเลสก็ดับอยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไรจริง ...มันก็เห็นความไร้สาระของรูปกายที่จิตมันสร้างขึ้นมา 

มันก็จะเหลือแต่กายตามความเป็นจริง...ที่ไม่ใช่ใครของใคร  เป็นแค่สักแต่ว่าอาการหนึ่ง ปรากฏการณ์หนึ่ง ธรรมชาติหนึ่ง ไม่มีความหมาย ไม่มีราคา

เพราะนั้น ที่มันไปไม่ถึงไหนกัน เพราะมันทำหลายอย่าง ...มันไม่เด็ดขาด มันไม่เด็ดเดี่ยว  แล้วก็ความเพียรน้อย...ที่จะอดทนอยู่กับกายปัจจุบันนี้ให้ได้โดยความต่อเนื่อง 

นี่ มันก็เลยขาดความเป็นมหาสติ มันจะเป็นตัวขัดขวางไม่ให้เกิดมหาสติมหาปัญญา

จุดบกพร่องมันก็มีไม่เยอะหรอก มีเท่านี้แหละ ...ถ้าเราทำลายจุดบกพร่องนั้นได้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรม ศีลสมาธิปัญญามันก็บังเกิดขึ้นตามธรรม

เพราะนั้นเวลานั่ง เวลาอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ก็รู้ว่านั่งเฉยๆ เท่านั้นแหละ ...ไม่ต้องไปไหนหรอก ไม่ต้องให้จิตไปไหนหรอก แล้วไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มด้วย 

ไม่ต้องไปหาปัญญาเพิ่มด้วย ไม่ต้องทำอะไรด้วย ...ไม่ต้องจงใจ ไม่ต้องเจตนาอะไรเลย แค่รู้ว่านั่งเฉยๆ พอแล้ว ให้มันอยู่ได้แค่นี้ ไม่เอาอะไรนอกเหนือจากนี้แล้ว

ให้มันโง่อยู่กับกายอันเดียวนี่แหละ ไม่เอาความรู้อะไรหรอก ...มันมาเกิดมาตายเพราะมันติดกับความรู้นี่แหละ ความรู้ที่ออกนอกกายนี้ใจนี้ มันจึงเป็นตัวพาให้เกิดในรูปนามที่ไม่จริง 

ไอ้รูปนามที่ไม่จริงนั่นแหละ มันจะสร้างให้เกิดรูปนามขึ้นมาใหม่ เป็นชาติ เป็นขันธ์ห้า ขันธ์สี่ขันธ์สามขันธ์สองขันธ์หนึ่ง ...ได้หมดน่ะ มันจะไปสร้างขันธ์ขึ้นมา

เพราะนั้นไอ้ที่อยู่กับขันธ์นี่ก็เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากความไม่รู้ในอดีต ...แล้วก็ยังมีโอกาสที่จะไปสร้างขันธ์นี้อีก ถ้ายังอยู่กับความไม่รู้ในปัจจุบัน  

มันเป็นธรรมที่สืบเนื่องกันอย่างนี้ โลกมันมีความสืบเนื่องกันอย่างนี้ มันสืบเนื่องต่อได้ด้วยความไม่รู้

มันจะขาดได้ต่อเมื่อรู้ มันก็ขาดความสืบเนื่องของขันธ์ ...เพราะนั้นมันขาดความสืบเนื่องของขันธ์นี่ตั้งแต่ปัจจุบันแล้ว ขันธ์ปัจจุบัน ...มันก็จะเหลือแต่ขันธ์เดียว คือปัจจุบันขันธ์

มีชีวิตอยู่ชั่วขณะหนึ่ง อยู่กับกายหนึ่ง จิตหนึ่ง ธรรมหนึ่งในปัจจุบันเท่านั้น แล้วก็ดับ ...แล้วก็กายหนึ่งจิตหนึ่งธรรมหนึ่งในปัจจุบัน...ดับ 

มีชีวิตอยู่แค่ขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง ...ไม่มีชีวิตในอดีต-ในอนาคต ไม่มีเราในข้างหน้า-ในข้างหลัง ไม่มีเราในปัจจุบันมันก็อยู่ไปเปล่าๆ อย่างนั้นน่ะ

เพราะนั้นในขณะที่รู้กายเห็นกายในปัจจุบัน รู้ตัว อยู่กับความรู้ตัวนี่ ...มันดิ้น มันอยาก มันไม่สบอารมณ์ มันไม่ได้ดั่งใจนี่ ...นั่นแหละเขาเรียกว่ามันบาดเข้าไปถึงเลือดเนื้อ

ศีลสมาธิปัญญา...มันกำลังบาดเข้าไปในเลือดเนื้อของอวิชชา  มันก็เกิดอาการทุกข์ทรมาน ทุรนทุราย  ...เหมือนกำลังถูกเชือด

แต่ถ้าใจอ่อน ก็ตามมัน ปล่อยมันไปตามยถากรรม ...มันก็จะพาวนเวียนไปในโลก...สามโลกธาตุนี่แหละ มันไม่ไปไหนหรอก จิตดวงนี้ จิตไม่รู้ดวงนี้

แต่เมื่อใดที่จับมันมาอยู่ในที่เดียว นี่ ศีลสมาธิปัญญามันเป็นปหาน เป็นตัวประหารจิตไม่รู้ ...เมื่อมันเข้าไปประหาร มันยังไม่ขาดในทีเดียว มันก็มีอาการทุรนทุรายภายใน มีความรู้สึกว่าไม่สบาย

บางคนยังว่าด้วยซ้ำว่าทุกข์กว่าก่อนที่ปฏิบัติอีก ...พอเริ่มปฏิบัติก็ดันทุกข์ พอไม่ปฏิบัติปล่อยลอยๆ ไป ไม่เห็นทุกข์เลย ...มันจะรู้สึกอย่างนั้น แล้วมันจะกลับไปร่องเดิมของมัน คือร่องหลง สบาย 

นี่ อะไรก็เลยตามสบาย นั่งนอนพูดคุยตามสบาย มันไม่ทุกข์นี่ ...แต่พอจับมันมาอยู่ในที่เดียวนี่ เอาล่ะ เป็นเรื่องเลย "เอ๊ ทำไมพอมีสติมีสมาธิตั้งมั่นอยู่กับกายปัจจุบัน กายหนึ่งจิตหนึ่งนี่ แล้วทำไมมันเป็นทุกข์วะ" 

ทุกข์สิ...มันกำลังฆ่าอวิชชาอยู่น่ะ มันก็มีความทุรนทุรายสิ ...แล้วความเพียรจะไหวมั้ยล่ะ จะเด็ดเดี่ยวพอมั้ยล่ะ จะประหารมันจนถึงสมุจเฉทมั้ยล่ะ ...เนี่ย อยู่อย่างงี้ 

มันไม่กล้าจริงไง ...ใจอ่อน ใจเล็ก มันก็ไม่ไหวแล้ว อยู่ไม่ทำอะไรดีกว่า ปล่อยให้มันหลงๆ เพลินๆ ไป ก็ไม่เห็นเป็นทุกข์นี่ มันก็อยู่อย่างนั้นสบาย มันเริ่มลงว่าอย่างนั้น

เพราะนั้นว่าในลักษณะของปัญญาวิมุตินี่...ไม่สบายหรอก อยู่กับทุกข์ ...ละทุกข์ก็เป็นทุกข์ อาศัยทุกข์นั่นแหละ อยู่กับทุกข์นั่นแหละ 

นี่ ทุกข์ในการละนะ ไม่ใช่ทุกข์ในการไขว่คว้าค้นหาแล้วไม่ได้นะ ...แต่มันทุกข์เพราะไม่ค้นไม่หานั่นแหละ มันก็เป็นทุกข์ในการทำลายตัวความอยากและไม่อยาก ใช่มั้ย

มันอยากหาธรรม มันอยากได้ธรรม ก็ไม่เข้าไปหา ก็ไม่เข้าไปอยากได้ ไม่เข้าไปอยากหา ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะไม่ได้สมความอยาก ...นี่ มันก็เป็นตัวทำลายความอยากของมันไปในตัวอยู่แล้ว

นี่ ปัญญาวิมุติมันเรื่องของทุกข์ทั้งนั้นแหละ ...จนมันหมดความอยากเป็นระลอกๆ ไป มันก็เกิดความเย็นชา เหมือนกับเย็นชากับอารมณ์ กับความรู้สึกที่จิตมันปรุงแต่ง มันสร้างมโนภาพอะไรขึ้นมา 

มันก็รู้สึกเย็นชากับสิ่งต่างๆ นานา ที่จิตมันปรุงแต่งขึ้น ...คือไม่มีรสชาติแล้ว ไม่มีความรู้สึกมีรสชาติในความปรุงแต่งของจิต

นั่นแหละเขาเรียกว่ามันจะเกิดภาวะที่เรียกว่าสังขารุเบกขาญาณ ...มันไม่มีรสชาติ มันเหมือนอ้อยที่เขาเคี้ยวแล้วมันหมดน้ำหวาน ...มันเหลือแต่ซาก ชานอ้อยน่ะ มันจะรู้สึกอย่างนั้น


(ต่อแทร็ก 8/18  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น