วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 8/19 (2)


พระอาจารย์
8/19 (550722A)
22 กรกฎาคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 8/19  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่พอหยุดคิด...แล้วกลับมารู้อยู่เห็นอยู่กับปัจจุบัน ว่าเดี๋ยวนี้กำลังอยู่ในท่าไหน นั่งนอนยืนเดิน เจ็บปวดเวทนาอย่างไร ปรากฏอย่างไร ...ก็รู้มันเฉยๆ กับสิ่งที่มันอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้

อยู่ตรงนี้ อยู่เดี๋ยวนี้ ...ให้มันอยู่...ให้จิตมันอยู่ตรงนี้ๆ ให้จิตมันอยู่เดี๋ยวนี้ กับสิ่งที่มันปรากฏอยู่ขณะนี้  ...เนี่ย คือยารักษาโรคใจ เพื่อให้ทุกข์มันน้อยลง..ทุกข์ภายในใจนี่น้อยลง

แล้วก็ปล่อยให้เรื่องของขันธ์เขาเป็นไปตามปกติเขา ...เขาแสดงอย่างไรก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะไปแทรกแซงเกี่ยวข้อง

เรื่องของเราก็คือมารักษาโรคใจ ไม่ให้มันไปเกาะเกี่ยวอดีตมาเป็นเรื่อง อนาคตมาเป็นเรื่อง ความน่าจะเป็นอย่างนั้น ความควรจะเป็นอย่างนี้ ความเป็นคุณความเป็นโทษในอดีต-อนาคต

ความถูกความผิดในอดีต-อนาคต เรื่องราวต่างๆ ของสัตว์บุคคลอื่นในอดีต-อนาคต ...ไม่ต้องให้มันเอาความคิดไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น

ใจมันก็ค่อยๆ สงบระงับ สว่างไสวขึ้นด้วยปัญญา เห็นแล้วก็ยอมรับความเป็นจริงที่ปรากฏมากขึ้นๆ ไปตามลำดับ จนไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แสดงอยู่ขณะนี้เดี๋ยวนี้

นี่ เรียกว่าจิตมันจะเกิดความมั่นคงแน่วแน่ กล้าหาญ กล้าเผชิญกับทุกสิ่ง ไม่มีอะไรเกินกว่าที่จะเผชิญรับได้...ไม่มี รับได้หมด

เพราะมองเห็นว่าเป็นธรรมดา เป็นแค่เรื่องธรรมดาหนึ่งเท่านั้นที่กำลังแสดงอาการ ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่ธุระของใคร ไม่ใช่ภาระของใคร ...มันเป็นภาระ มันเป็นเรื่องของโลกเขา

กายนี้...ที่ว่าเป็นเราๆๆ ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นตัวเรา ...ความจริงน่ะมันเป็นของโลก  ดินน้ำลมไฟที่เอามาหล่อหลอมรวมกัน ข้าวปลาอาหาร น้ำดื่มน้ำกิน มันก็เป็นวัตถุข้าวของที่มีอยู่ในโลกนี้

แล้วก็เอามาผสมปรุงแต่งรวมตัวกัน กลั่นกรองอยู่ภายในนี้ ...จนมันเป็นรูปลักษณะอาการ มีแขนมีขา มีหน้ามีตา มีผมเผ้า มีหนังมีเนื้อ มีกระดูก มีอวัยวะภายในขึ้นมา

ก็ดูสิมันมาจากไหน ...มันก็มาจากโลก มาจากข้าวปลาอาหาร นมน้ำ ผักพืชผลไม้  นี่ มันเป็นโลกแท้ๆ มันเป็นของโลกแท้ๆ ที่มารวมตัวกัน อย่าไปเข้าใจว่ามันเป็นของเรา

และสุดท้าย ถ้ามันเป็นของเรา...เราก็เอามันไปด้วยสิ เวลาตายน่ะ ...มันก็เอาไปไม่ได้ ก็ทิ้งไว้อยู่ในโลก 

เพราะมันเป็นสมบัติของโลก ...กายจริงๆ มันเป็นสมบัติของโลก แค่เรามายืมเขาอยู่ มาอาศัยอยู่ชั่วคราว ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง ...มันเป็นของยืมมา

แล้วไอ้ของที่ยืมมานี่ มันเป็นของยืม ของที่มันไม่ใช่เป็นของที่แท้ถาวร ไอ้ของที่ยืมเขามานี่ มันก็สภาพสัปปะรังเค รอวันแตกรอวันดับ

แต่คราวนี้เรายืมเขามาแล้วนี่ ...ระหว่างที่ใช้มันอยู่นี่ กลับเพลิดเพลินหลงใหลกับมัน ว่าเนี่ยของเรา ขาเรา แขนเรา หน้าเรา ตัวเรา จะสั่งให้มันทำอะไรก็ทำได้ นี่ มันเป็นของเรา

ก็เลยเกิดความเข้าใจผิด หลงผิด หมายมั่น...ในสิ่งที่ไม่ได้เป็นเราว่าเป็นเรา ในสิ่งที่ไม่ได้เป็นของเราก็ว่าของเรา

กายนี่ ที่เราสั่งมันได้ ก็แค่การเคลื่อนไหว หยิบนั่นจับได้ พาทำนั่นทำนี่ เอาไอ้นั่นเข้าปาก ลุกไปนั่งถ่าย ไปเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถ ...เราสั่งกายได้แค่นี้เองนะ จิตน่ะสั่งกายได้แค่นี้เอง

แต่สั่งให้หายป่วยไม่ได้ สั่งให้หัวใจหยุดเต้นไม่ได้ สั่งให้หัวใจเต้นช้าลงก็ไม่ได้ สั่งให้หยุดการย่อยอาหาร หยุดการหมุนเวียนของโลหิต ...ก็ไม่ได้

เห็นมั้ย เราสั่งกายได้กี่อย่างเอง ก็แค่ให้เคลื่อนไหว ...แล้วทำไมถึงสั่งให้เคลื่อนไหวได้ ...เพราะมันจะได้มีอายุ มันจะได้ไปหาอะไรมาหล่อเลี้ยงขันธ์ หล่อเลี้ยงกาย

เพื่อให้มันดำรงคงอยู่ไปถึงอายุขัยของมัน เพื่อไม่ให้มันแตกดับตายไปก่อนเวลาอันควร ...เนี่ย เขาถึงให้สั่งการบังคับการเคลื่อนไหวของกายได้ เท่านั้นเอง

แต่ว่าความที่ว่าเราไม่มีความถี่ถ้วน ไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะมาเข้าใจความเป็นจริงเหล่านี้ ...มันก็เกิดความหลงมัวเมา ว่ากายนี้เป็นของเราจริงๆ

พอมันแสดงอาการวิปริตผิดไป แสดงอาการที่ควบคุมไม่ได้อย่างชัดเจน ...ก็เริ่มเกิดภาวะที่ไม่ยอมรับความจริงนี้ เริ่มจะมีทุกข์ภายในก่อตัวขึ้น จนถึงทับถม

นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ ยืนก็เป็นทุกข์  เพราะเวทนาของกายที่มันแสดง...แล้วเข้าไปควบคุมมันไม่ได้ มันไม่เป็นดั่งใจอยากใจต้องการ

ทุกข์มันก็เกาะกุมกลืนกินอยู่ที่ภายในใจของสัตว์บุคคลนั้น มากขึ้นทวีคูณขึ้น ...ถ้ายิ่งคิด ถ้ายิ่งนึก ถ้ายิ่งอยาก ถ้ายิ่งไม่อยาก ถ้ายิ่งคาด ถ้ายิ่งเดา ...ก็ยิ่งทุกข์

คือถ้าไปหมายกับความน่าจะเป็น ความเป็นไปของขันธ์ ของเวทนาในกายนี่ ...ทุกข์มันก็ยิ่งก่อตัวเกาะกุม เกิดความขุ่นมัว เศร้าหมอง ...เป็นโรคภายใน

โรคภายนอกก็พอแรงแล้วยังมีโรคภายในซ้ำเติมเข้าไปอีก มันก็เลยเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ซ้อนทุกข์ ไม่จบไม่สิ้น ทับถมทวีอยู่ภายใน หาทางออกไม่ได้ ...อันนี้หมอก็ให้ยาแก้โรคใจนี้ไม่ได้

มีหมอใหญ่ที่รักษาให้ได้คือพระพุทธเจ้า ท่านให้ธรรมโอสถ ท่านวางหลักของการกินธรรมโอสถหรือยาใจนี้ไว้...คือศีลสมาธิปัญญา จึงจะแก้ รักษาโรคใจนี้ โรคทุกข์ภายในนี้

แต่คราวนี้ว่าพวกเรา คนเราเกิดมาอายุจนป่านนี้ ค่อนมา ล่วงเลยมาขนาดนี้ มันไม่ค่อยดูแลรักษา มันไม่ค่อยกินยาใจน่ะ ...พอถึงคราวคับขัน ถึงวาระที่มันบีบคั้นมากๆ ขึ้นมาแล้วนี่ ก็แย่แล้ว

เรียกว่าภูมิคุ้มกันภายในมันน้อยไป ...ก็ต้องเร่งขึ้นมา สร้างภูมิคุ้มกันภายใน มีสติ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญานี่แหละ เป็นภูมิคุ้มกันอยู่ภายใน ต้องสร้างขึ้นมามากๆ

ให้อยู่กับสติ อย่าไปอยู่กับความคิด ...ให้อยู่กับสมาธิ อยู่กับปัญญา อย่าไปอยู่กับอดีตอนาคต อย่าไปอยู่กับอารมณ์ อย่าไปอยู่กับเรื่องราวของสัตว์บุคคลอื่น

นี่ต้องกำชับพื้นที่แล้ว ...เพื่อขอคืนพื้นที่มาจากความคิด มาจากความคิด มาจากอารมณ์ มาจากอดีต-อนาคต

เพราะนั้นผู้ที่เข้าไปขอคืนพื้นที่ได้นี่ มีอยู่สามสี่ตัว คือสติ ศีล สมาธิและปัญญา ...ต้องอาศัย ต้องพึ่งแล้ว ...ต้องมาพึ่งสิ่งนี้แล้ว

จะไปพึ่งหมอดูหมอเดาทำนายทายทักแก้กรรมแก้เวรสะเดาะเคราะห์ก็ไม่ได้แล้ว จะไปพึ่งผีพึ่งเจ้านี่ก็ไม่ได้ จะไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้

จะไปพึ่งพระไหว้พระทำบุญ บุญก็มาช่วยตอนนี้ไม่ได้แล้ว ไม่ทันการณ์แล้ว ...ไอ้นั่นเอาไว้รับผลตอนตายแล้วเกิดใหม่แล้วกัน

แต่ตอนนี้มันเฉพาะหน้านี่ มันต้องยาแรง มันต้องกินยาแรง คือฉีดเข้าหัวใจเลย ตายเป็นตาย ต้องโดสโอเวอร์โดสเข้าไป ...เอาให้มั่นว่าต้องอยู่ตรงนี้ ต้องอยู่ที่นี้

ต้องไม่อยู่กับความคิด ต้องไม่อยู่กับอดีต ต้องไม่อยู่กับอนาคต ต้องอยู่ตรงนี้จริงๆ จังๆ ...ยามันถึงจะออกฤทธิ์ คือผล...สบาย ทั้งๆ ที่ว่ากายเป็นทุกข์

นั่น ออกผลแล้ว...ใจสบาย ใจไม่เป็นทุกข์ ทั้งที่ว่ากายมันแสดงอาการวิปริตของมันไป

นี่เพราะอะไร ...เพราะมันรู้สึกเลยว่า ไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของมัน ...มันคือมัน ก็ไม่เห็นว่ามีเราในมันนี่ ...จิตนั่นแหละคอยจะไปเติมว่า มันคือเรา เราคือมัน

จิตมันมั่ว เห็นมั้ย จิตเราน่ะตัวมั่วเลย ตัวหาเรื่องทุกข์ ตัวเกาะเกี่ยว ...แล้วก็ไปหมายเอาดื้อๆ ว่าไอ้ดินน้ำไฟลมที่รวมของพืชผักผลไม้ไก่ปลานี่เป็นเรา มันโง่หรือมันฉลาดดีเนี่ย

มันเป็นก้อนแข็งๆ อ่อนๆ อุ่นๆ ...ก็บอกว่า เนี่ย ของเรา แล้วเชื่อหัวปักหัวปำเป็นวรรคเป็นเวร ใครมาจับแตะต้องก็ว่ามาแตะเราทำไม แน่ะ มายุ่งกับเราทำไม

เขาว่าหน้าตาดูอย่างนั้นอย่างนี้ก็โกรธ แน่ะ โกรธหน้าดำคร่ำเครียดเลย...มาว่าเราไม่สวย หรือมาว่าเราสวยกว่าความเป็นจริงก็โกรธอีก 

ก็เขาว่าหน้า เขาไม่ได้ว่าเรา ...เห็นป่าว อะไรๆ มันก็เข้าไปหมายว่าเป็นเรา...ได้ยังไง มันไม่มีเหตุไม่มีผลเลยนะ ...แล้วก็เชื่อมันจริงๆ จังๆ

เนี่ย ไอ้การที่เข้าไปเชื่อความที่ไม่จริงอย่างนี้ ...นี่แหละคือเหตุที่เกิดทุกข์

ก็ถ้าเขาว่าดินน้ำไฟลมมันไม่ดี มันไม่สวย มันจะเดือดร้อนมั้ย ...ก็มันเป็นดินน้ำไฟลมที่รวมตัวกัน มีลมหายใจเป็นตัวประสาน ก็แค่เนี้ย มันจะมีใครเดือดร้อนล่ะ ...ไม่มี

มีแต่จิตมันไปขยำรวมว่าทั้งหมดนี่เป็นเราหมดเลยนี่ มันก็ต้องมาแก้ที่จุดนี้ 

แก้ที่ตัวเรานี่แหละ...ด้วยการอย่าไปคิดมาก อย่าไปสร้างความเห็นอะไรขึ้นมาซ้ำลงไป..ให้เกิดเป็นเราของเรามากขึ้น แต่ให้มันน้อยลงไปๆ จนหมดไปสิ้นไป

อยู่กับความเป็นจริงคือสิ่งหนึ่ง อาการหนึ่ง ..กายก็เป็นแค่สิ่งหนึ่ง ...จิต ความคิด อารมณ์ก็เป็นแค่อาการหนึ่ง ก็อยู่กับสิ่งหนึ่งอาการหนึ่ง ด้วยความรู้อยู่เป็นกลางๆ

อย่าไปจริงจังกับสิ่งหนึ่งอาการหนึ่งนี้ จริงจังจนไปหมายมั่นว่านี้เป็นเรา นั่นเป็นเรา นั้นเป็นเขา ...รู้เฉยๆ อย่างนี้จึงจะแก้โรคใจได้ จึงจะแก้และออกจากทุกข์ภายในได้ ไม่อย่างนั้นมันจะทับถม

ทุกขเวทนาภายนอกนี่ก็เรื่องของมัน มันก็จะเป็นของมันอย่างนี้ บอกก็ไม่ฟัง ห้ามก็ไม่ฟัง ...มันมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปในแง่ที่จะเสื่อมไปสลายไป สิ้นไปดับไป

ให้มองเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปมองเป็นเรื่องผิดเรื่องถูก อย่าไปมองเป็นเรื่องดีเรื่องร้าย อย่าไปมองเป็นเรื่องควรหรือไม่ควร ...การไม่มองก็คือไม่ส่งจิตออกไปคิดอย่างนั้น ก็ยอมรับมันไป

คือไม่ได้หมายความว่าไม่รักษามัน ก็รักษามันไป ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอของยาไป จะได้ผลอย่างไร จะไม่ได้ผลอย่างไรก็ยอมรับในสิ่งนั้นๆ ไป ตามสภาพของมัน

หน้าที่ของเราก็คือรักษาใจรู้ใจเห็น ใจที่อยู่เป็นกลาง ใจที่ไม่คิดไม่ปรุงนี้ รักษาไว้ให้ดี ไว้ให้มาก ไว้ให้นาน ไว้ให้ต่อเนื่อง ...มันจึงจะออกจากทุกข์ภายในได้


( ต่อแทร็ก 8/20 )



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น