พระอาจารย์
8/6 (550519D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
19 พฤษภาคม 2555
พระอาจารย์ – หยั่งลงในที่อันเดียวนี่ ... กายก็คือกาย ใจก็คือใจ นั่งก็คือนั่ง รู้ก็คือรู้ แค่นั้นแหละ นอกนั้นไม่เอา ...พอคิดจะหาเหตุหาผล จะเอาถูกเอาผิด จะให้รู้ลึกซึ้งกว่านี้...ไม่เอา ไม่ลึกไม่ซึ้งน่ะ
เอาแค่นี้...ธรรมดา
แล้วมันก็มีธรรมดา...ลมพัดทีรู้ทีๆ
ยังดี รู้ว่าเย็น...มีเย็นก็รู้ว่าเย็น พอแล้ว
นั่นน่ะกาย เวทนาในกาย ...ไม่ต้องใส่ชื่อด้วย ต่อไปก็ลบชื่อไป ส่วนใจก็...ใจรู้ก็คอยถือยางลบไว้นะ ไว้ลบๆๆ ... มันบอกว่าเป็นแขนกู ขากู ก็ลบๆๆ ลบซะ
อย่าไปถือแต่ปากกาเมจิกคอยเขียนชื่อห้อยต่อเติม
วิตกวิจารณ์ฟุ้งซ่านรำคาญ จนสลัดไม่ออก ... มันเขียนเอง มันติดตัวมันเอง
แล้วมันหายางลบไม่ออก แล้วมันจะมาให้คนอื่นลบให้ บ้ารึเปล่า เพราะไอ้ปากกานี่ยี่ห้อใครยี่ห้อมัน ...มึงสร้างเองมึงลบเองดิ ใช่มั้ย
จะมาให้คนอื่นลบให้ไม่ได้
ได้แต่บอกวิธีลบ...คือรู้ตัว
แล้วมันก็ค่อยๆ ลบของมันไปเอง ...ไม่ใช่ไปคอยเขียนซ้ำเขียนซากๆ มันจะไม่หนาแน่นยังไง ...คิดแล้วคิดอีก หาแล้วหาอีก ทำแล้วทำอีกอยู่นั่นน่ะ
เขาเรียกว่าเป็นโรคจิตประเภทย้ำคิดย้ำทำ ซ้ำซากๆๆ ในอาการเดิมๆ มันก็ยิ่งจดจำ
ตราตรึง แนบแน่นลงไป ...ไม่ลบออกได้ง่ายๆ
แต่เมื่อใดที่เรามาอยู่ตรงนี้
ในใจมันคอยถือยางลบ มันจะคลายๆๆ ออก จางออก
เพราะเราไม่ไปเขียนต่อหรือจงใจเขียน หรือจงใจจะให้มันเข้มข้นขึ้น
ชัดเจนขึ้น ...แต่มันยากแรกๆ น่ะระหว่างที่รู้กายมันก็มีมือนึงคอยถือปากกาไว้
ก็ต้องเอาชนะ...แล้วก็ทิ้งปากกาไป พอทิ้งปากกาไป ในมือมันจะมียางลบขึ้นมาแทน
เอาไว้ลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากจิตปรุงแต่ง เพราะไอ้ยางลบนี้มันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมันเข้าใจว่าจิตปรุงแต่งไม่มีอะไร
เป็นแค่สักแต่ว่าจิต อารมณ์ กิเลส สักแต่ว่าอารมณ์ สักแต่ว่าธรรมที่ปรากฏ
เห็นมั้ยว่าสติปัฏฐาน
พระพุทธเจ้าท่านพูดชัด...ราคะเกิด ก็รู้ว่ามีราคะ ราคะไม่เกิดก็รู้ว่าไม่มีราคะ โทสะเกิด ก็รู้ว่ามีโทสะ ไม่มีโทสะก็รู้ว่าไม่มีโทสะ
เห็นมั้ย ในสติปัฏฐานท่านไม่ได้บอกว่า รู้ว่ามีโทสะแล้วให้ทำอะไรต่อ หรือกระทั่งให้หาเหตุหาผล
หาที่มาที่ไป หาที่ถูกที่ผิด ท่านก็ไม่บอก
ท่านบอกแต่...ให้รู้ว่ามีโทสะ
โทสะมากก็รู้ว่ามีโทสะมาก โทสะน้อยก็รู้ว่ามีโทสะน้อย ไม่มีโทสะก็รู้ว่าไม่มีโทสะ นี่คือสติที่แท้จริง มีราคะ...รู้ว่ามี ท่านไม่ได้บอกว่าให้แก้ ให้หนี ท่านไม่ได้บอกว่าให้ทำลาย
ท่านไม่ได้บอกว่าให้ไปหาเหตุหาผล หรือพิจารณาในธรรมที่ปรากฏนี้
ท่านบอกว่าให้รู้
ด้วยสติที่มั่นคงด้วยสมาธิ...แล้วอยู่ในความปกติ
ปกติยังไง ...ปกติของเรามีกิเลส เดี๋ยวมันก็มี เดี๋ยวมันก็ไม่มี...มันเป็นปกตินะนั่นน่ะ ... เพราะเราไม่ใช่พระอรหันต์
นั่นปกติท่านไม่มีกิเลส มันคนละปกติกัน ... แต่ถ้าปกติของพวกเรายังมีกิเลส เดี๋ยวมันก็มีอารมณ์
เดี๋ยวมันก็มีความอยาก เดี๋ยวมันก็มีความไม่อยาก ...อันนี้เป็นปกติ ไม่ได้ว่ากัน แค่ให้รู้ด้วยสัมมาสติ คือรู้เฉยๆ
แต่เราบอกให้ว่า...สัมมาสติที่จะไปรู้กับนามทั้งสาม
เวทนา จิต ธรรม...ยาก...ถ้าไม่มีรากฐานที่มั่นคงจริงๆ ในปัจจุบันจริงๆ รู้จริงๆ
แล้วก็อยู่กับกายจริงๆ ที่เป็นกายจริงๆ
ถ้ามันคิดว่าจิตเร็วกว่า ธรรมเร็วกว่า
งั้นเอาสติปัฏฐานสองไปเลย ท่านไม่ต้องพูดสติปัฏฐานสี่หรอก ทำไมจะต้องมาบอกสติปัฏฐานสี่ล่ะ ...
ถ้าว่ากายเป็นของง่ายๆ ไม่ต้องทำน่ะ ไม่ต้องดู เดี๋ยวมันก็แจ้งเอง ทำไมท่านต้องพูดถึงสี่ แล้วท่านเอากายเป็นตัวแรกด้วย
...จะมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้ยังไง
เพราะนั้นในเวลาที่เรามาตั้งมั่นที่กาย
ระลึกอยู่กับกาย มันสามารถที่จะปฏิบัติภาวนาได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่เลือก ...เพราะถ้าถามว่าตอนทำงานอยู่มีกายมั้ย
ตอนนั่งคนเดียวมีกายมั้ย ตอนขับรถขึ้นรถลงรถ ตอนมีเรื่อง มีกายอยู่มั้ย...มี
ไม่ได้หายไปไหนเลย
แต่ที่ไม่มีคือสติ ที่ไม่มีคือศีล ... เพราะนั้นเมื่อใดสมมุติว่าเราโกรธ หงุดหงิด รำคาญ แล้วมัวแต่ไปดูว่ากำลังหงุดหงิด
ดูแต่ว่ากำลังรำคาญ แล้วละเลยกาย ทิ้งกาย ทิ้งศีลแล้ว...ถือว่าทิ้งศีลแล้วนะ
คือจะไปดูเพื่อให้มันดับ หรือว่าดูเพื่อให้เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งหนึ่ง
...แต่เราว่าไม่ค่อยเข้าใจนะ
แต่ถ้ารู้ว่าโกรธเฉยๆ
เห็นอยู่ว่ามีความโกรธเกิดขึ้น แต่ในขณะนั้นน่ะรู้กับปกติกาย อยู่กับปกติกาย มันยืนโกรธรึเปล่า หรือนั่งโกรธ แล้วในการยืนโกรธนั่งโกรธ มันมีปกติกายอยู่มั้ย หรือไม่ตึงก็แน่น ไม่แน่นก็สั่น...ถ้าโกรธมากๆ
มันสั่น ก็เห็นกายสั่น หรือว่าเห็นกายเฉยๆ
แข็ง อ่อน ร้อน เย็น นี่ กลับมาอยู่กับกายปกติ รักษากายปกติ ทั้งๆ ที่ยังมีอารมณ์ ...นั่นศีล
เมื่อรู้ความเป็นปกติ...อยู่ในองค์ศีลปุ๊บนี่
จิตมันจะไม่เข้าไปกอปรซึ่งเหตุและปัจจัยร่วมด้วยกับอารมณ์หรือกิเลส มันก็แตกสลายหมด เห็นมั้ย ศีลน่ะจะมารักษาตัวเรา ... แต่ถ้าไปจดจ่อจดจ้องสภาวะนี่ละเมิดศีลนะ
เดี๋ยวเสร็จ...ไม่มันเสร็จก็กูเสร็จ
มันเสร็จก็หมายความว่าคือเราไปด่ามัน
เราเสร็จมันก็คือเราก็จมอยู่กับอารมณ์ ...ไม่ไปไหนน่ะ คือขังคอกตัวเอง ไปติดคุกน่ะ
เข้าไปติดคุกอยู่กับมันนะ จดจ้องดูมันเข้าไปเหอะ ติดคุกแล้ว...ติดพันธนาการ
ถึงบอก...เห็น รู้เฉยๆ พอแล้ว
ต้องมาติดคุกกายไว้ กายนี่เป็นคุกใหญ่ อย่าไปติดคุกย่อยสิ รักษาความปกติกาย มันก็จะออกมาจากคุก...คืออารมณ์ที่มันจะมาจองจำ
กิเลสที่จะมาจองจำ แล้วไม่ต้องไปด่า
ไม่ต้องไปโกรธกิเลสตัวเอง ว่า ‘ทำไมถึงเกิดอย่างนี้
ทำไมถึงมีอารมณ์ ...ทำไม’
ก็บอกว่ามันเป็นปกติ ... ก็เป็นพระอรหันต์รึเปล่าล่ะ
ถามตัวเองดูสิ...ไม่ได้เป็น ถ้าไม่เป็น...ก็มีกิเลส
ไม่ได้แกล้ง ไม่ใช่แสตนด์อิน ...มันจริง ก็ปกติมันเกิดก็เกิดไป เรื่องของมัน เราก็รักษาความปกติกายไว้
รักษาศีลไว้
เดี๋ยวเขาก็แสดงความเป็นจริงของธรรมที่ปรากฏนั้นเอง
ว่ามีความแปรปรวน ผันแปร มีความดับไปสิ้นไปเป็นที่สุด...เอง ...เองด้วยนะ ...ถ้าไม่เอง เดี๋ยวมันจะเป็นเราทำ แล้วเราจะทำ และเรากำลังทำ มันจะวนเวียนอยู่ตรงนั้น
“เรา” จะเกิดขึ้นมา
เอา “เรา” มาอยู่กับรู้
เอาเรามาอยู่ที่รู้ เอาจิตเรามาอยู่กับจิตรู้ อยู่ตรงนี้ก่อน เอาจิตเรามาอยู่กับศีล สร้างป้อมปราการไว้
สร้างรั้วกางกั้นไว้ ให้จิตมันแน่วแน่ตั้งมั่นอยู่...ทุกอย่างคลี่คลายเองน่ะ
เมื่อเรารักษาศีล ศีลก็รักษาเรา เมื่อเรารักษาศีล ศีลก็รักษาใจ ... ถ้าเราไม่รักษาศีล
ทุกอย่างพังทลายหมด เพราะไม่มีรั้ว
ไม่มีเขื่อน ไม่มีกำแพง เดี๋ยวน้ำมันไหลมานี่ท่วมบ้าน ... ถ้ามีรั้ว ถ้ามีเขื่อน
ถ้ามีฝายชะลอ มันก็จะค่อยๆ ...ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่
ศีล...ต้องรักษา นี้คือศีลในองค์มรรค นี้คือศีลในไตรสิกขา ที่สุดของศีลนี้คือ ศีลวิสุทธิ คือกายอันบริสุทธิ์ การเข้าถึงศีลวิสุทธิหมายความว่า เข้าไปชำระกายนี้จนบริสุทธิ์...จากความปรุงแต่ง จากความคิดความเห็น จากความเชื่อ จากสมมุติ จากบัญญัติ ... กายนี้จะเข้าสู่ความบริสุทธิ์ กายนี้จะกลายเป็นศีลวิสุทธิ...ตามความเป็นจริง
ถ้าเราไม่มาเรียนรู้อย่างนี้
ถ้าไม่รักษาศีลแล้วเริ่มต้นจากตรงนี้นะ พวกเรานี่เหมือนทัพพีกับหม้อแกง
เหมือนทัพพีที่ไม่รู้จักรสชาติของน้ำแกง ...แล้วยังจะไปตักหม้อคนอื่นอีก ตักหม้อคนอื่นก็ไม่รู้รสของน้ำแกงหม้อนั้น
มีแต่สีสันติดมาอาบทาอยู่แค่ปลายทัพพี แล้วก็หายไป มันไม่เข้าถึงรสชาติน้ำแกงจริงๆ
เห็นมั้ย ถ้ามาเห็นความสำคัญของศีลสมาธิปัญญาที่มีอยู่
หมั่นเจริญขึ้น รักษาขึ้น ให้ต่อเนื่อง เราจะเข้าถึงรสชาติที่แท้จริงของศีล
ว่าศีลนี้มีจริง สมาธินี้มีจริง ปัญญานี้มีจริง ...ไม่ใช่แค่จดจำมา ไม่ใช่แค่คิดๆ
นึกๆ คาดๆ เดาๆ ว่าศีลคืออะไร สมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาคืออะไร แต่มันเข้าถึงศีล เข้าถึงสมาธิ เข้าถึงปัญญาญาณ ...มันไม่เหมือนทัพพีแล้ว
เนี่ย ปัจจัตตัง
จึงเรียกว่าเป็นปัจจัตตัง …ถ้ายังไม่เข้าถึงปัจจัตตัง
การภาวนาทั้งหมดยังเหมือนทัพพีกับหม้อแกง แล้วยังหาวิธีใหม่ๆ
คือหาหม้อแกงใหม่ๆ
เพียรพยายามอยู่ในที่นี้
แล้วก็ละที่นั้น แล้วก็ละสิ่งที่มันจะไปที่นั้นที่โน้น...คือจิต...ให้ทันแล้วก็ละมันซะ อย่าไปคบมันเป็นญาติสนิทมิตรสหาย อย่าไปคบมันเป็นเพื่อน ...ให้มันเหลืออยู่แค่นี้พอแล้ว
เอ้า พอแล้ว มีอะไรถามมั้ย
โยม – หลวงพ่อบอกว่า กาย-ใจเป็นมรรค การเกิดผลระหว่างทางเดินมรรคนี่มันยังไงเจ้าคะ เริ่มจะเห็นตอนไหนจึงเรียกว่าผล
พระอาจารย์ – เบาไปเรื่อยๆ
มันมีความเบา เหมือนทุกอย่างผ่านไป...ไม่มีด่านกั้น เข้าใจมั้ย เบามั้ยล่ะ ถ้ามันมีด่านแล้วมันมีรถมาติดขัดอยู่เป็นการจราจรติดขัดน่ะ
มันหนักมั้ย มันมีแต่เรื่อง สุม ติด ข้อง
ไม่หายไปไหนสักที มันก็ยังอยู่ตรงนี้ นี่ติด รถติด
แต่ผลมันน่ะ เห็นรึเปล่า มันเบารึเปล่า
นั่นล่ะผล ไม่ต้องไปถามใครเลยว่าได้รึยัง ...ก็มันไม่มีอะไร ก็บอกมันไม่มีอะไร...ก็มีแค่กาย-ใจนั่นแหละคือผลแล้ว ก็มันไม่ติดกับอะไร ไม่เอาอะไรมาติด
ไม่ไปติดกับรูป ไม่ไปติดกับเสียง ไม่ไปติดกับอดีต ไม่ไปติดกับอนาคต ...ไอ้ตัวที่ติดกับอะไรนั่นน่ะคือด่าน
มันก็คอยทำลาย ...ถ้าอยู่ในองค์มรรคแล้วก็ไม่สนใจที่จะไปหมาย
ไปข้องกับอะไร มันก็ทำลายด่านไปในตัวของมันแล้ว
ทั้งด่านใหม่ด่านเก่า ...ไอ้ใหม่ก็ไม่เอา ไอ้เก่าก็ขึ้นมาให้เห็นอยู่เรื่อยน่ะ แล้วมันจะบอกว่า เอาดิๆๆ ...ก็ไม่เอา อย่างนี้
เพราะนั้นตอนนี้มันก็ต้องชำระทั้งคู่น่ะ
ทั้งอดีตทั้งอนาคต...ไม่เอา มันก็ค่อยๆ...ถึงแม้จะไม่หักโค่นลงไป
มันก็ยังเล็ดรอดไปได้สะดวกขึ้นน่ะ...ง่ายขึ้น
เร็วขึ้น ไม่ติดข้ามวันข้ามคืน ไม่ข้ามเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ ไม่ข้ามเดือนข้ามปีน่ะ
ต่อไปก็นับเป็นชั่วโมง นับเป็นนาที
นับเป็นวินาที ...นับเป็นขณะ... นั่นน่ะกำลังของมรรคจิต ปัญญาญาณ...ที่มันแจ่มชัด
แจ่มแจ้ง...ปึ้งๆ ขาด ระหว่างกระทบ ...ด่านไม่มีทางได้กั้นเลย ทะลุ โล่ง ...ฟรีเวย์
เออ ถ้าเป็นฟรีเวย์ ไม่เก็บเงิน ไม่ตั้งด่าน ไม่มีด่าน มันจะเร็วมั้ย ... สะดวกเลย
…ตั้งแต่พระอริยะเบื้องสูงขึ้นไปนี่ ทางโล่งตลอดเลย
โยม – ถ้านั้นมันมีความเข้าใจก็คือ...ระหว่างที่เดินทางมรรคนี่ ผลมันก็ปรากฏอยู่ ขนาบข้างมันอยู่แล้ว
พระอาจารย์ – อือ
อยู่ในปัจจุบันนั่นแหละ ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปรอ ...ไอ้ที่หาไอ้ที่รอ...คือเรา
ไอ้ที่หาไอ้ที่รอ...คือจิต แล้วที่มันกำลังหากำลังรอคือ...นอกถนน ...ไอ้พวกตกขอบ ไอ้พวกเข้าซอย มันชอบแยก จิตน่ะ ชอบแบ่งแยกแตกแขนงออกไป
ไม่ลงในเส้นทางหลัก
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า มรรคมีองค์แปด
สติปัฏฐานเป็นหลัก ... สติปัฏฐานท่านเปรียบเหมือนรอยเท้าช้าง หมายความว่า
สัตว์ในโลกนี้ไม่มีใครเหยียบได้ใหญ่กว่ารอยเท้าช้าง นี่ท่านเรียกว่า เอกายนมรรค เป็นหนึ่ง
ทุกอย่างเป็นรอง
สุดท้ายต้องมาลงในหลักนี้
ในเส้นทางนี้หมด ไม่ว่าจะเป็นเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
ไม่ว่าจะเดินด้วยเจโตกึ่งปัญญาวิมุติ ยังไงต้องมาลงหลักมรรคนี้หมด...กาย-ใจ เพราะกายใจคือขันธ์ห้า ขันธ์ห้าคือกายใจ ถ้ามันไม่มีขันธ์ห้า ไม่มีกายไม่มีใจของเราแล้ว...ไม่มีการเกิดอีกต่อไป
ก็ถ้ามันออกจากกาย-ใจแล้วมันจะไปไหน
มันจะเกิดปัญญาอะไร ปัญญาแบบยิ่งใหญ่ในซอยน่ะ มันใหญ่ไม่จริง ... ไอ้ความรู้บ้าๆ บอๆ กระโดกกระเดกอะไรขึ้นมานี่
มันโผล่ปูดโปนขึ้นมา อะไรพวกนี้ มันรู้ไม่จริง
ถ้าบนทางวิ่งนี่ ถนนไม่มีรถสวนเลย ไปแบบ
ว่าง โล่ง จนถึงที่สุด คืออนันตมหาสุญญตา ไม่มีอะไรเลย
มันไปสู่จุดที่ไม่มีอะไรจริงๆ แต่จิตมันคอยคิดว่ายังมีอะไรอยู่นะ
ยังมีอะไรให้มันหา ยังเสียดาย นี่เป็นกิเลสกางกั้น ขัดขวางการเดินไปในองค์มรรค
มันร้อยรัด ...ท่านถึงเรียกว่าเป็นสังโยชน์
ตัวร้อยรัด...ไม่ให้ผ่าน มันคอยดัก มันคอยเก็บ มันคอยดักอารมณ์ มันคอยเก็บสภาวะ
มันคอยหมายไว้ รอไว้ ว่าสภาวะไหน อารมณ์ไหน ความรู้อะไร มันจะดักจะรอ
พวกนี้เป็นกิเลสร้อยรัด
พอจะละ พอจะบอกให้เลิก พอจะไม่เอา
มันก็เสียดาย ...นี่ เขาเรียกว่าไม่อนาลโย มันหวน อดีต หวนคำพูดของคนนั้นคนนี้ที่เคยจำเคยได้ยินมา
มันไม่ละ มันไม่ยอมๆ ยึด...ดื้อ จิตมันดื้อ มันดื้อด้วยความโง่ ดื้อด้วยความไม่รู้
ไม่แน่วแน่ด้วยสัจจะ ด้วยเห็นตามความเป็นจริง
...ไอ้นี่ก็ดื้อแบบญาณ ดื้อแบบสัมมาทิฏฐิ คือดื้อแบบตรงต่อธรรม นี่มันก็ดื้ออีกอย่างนึงนะ
เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม มันก็ดื้อแบบดื้อเข้าไปถึงที่สุดของมรรคนะ อย่างอื่นไม่สน ไม่เหมือนกับคนดื้อ
แต่ว่านี่มันดื้อด้วยความที่ว่าชัดเจนในตัวของกายใจ...ไม่มีทางอื่น
โยม – หนูเข้าใจในภาพก็คือพอมันมีโทสะ
แบบนึงก็คือพุ่งเข้าไปเลย กรากเข้าไปเลยเรา ด่ามันเลย เอาคืน อีกพวกนึงก็คือ ‘ทำไมไปโกรธล่ะ ไม่ดีเลย ไอ้ความโกรธ เรานี่’ จิตดีมันตำหนิ
ทีนี้มันก็มองเห็นว่าไอ้นี่มันทางสองแยก แต่อย่างหลวงพ่อว่าเมื่อกี้
แค่กายกับใจ เออ มันเป็นทางสายกลาง มิดเดิลเวย์ที่แค่รู้
พระอาจารย์ – ก็แค่รู้ ไม่สุดโต่ง
ทั้งกุศลและอกุศล ... จะไปตำหนิมัน ด่ามัน
หรือว่าเอาชนะมัน ก็คือจิตกุศล หรือกระโดดตามไปด้วยความหลงเพลินก็เป็นอกุศล
เนี่ย คืออัตตกิลมถานุโยค กับกามสุขัลลิกานุโยค ทั้งหมดก็คือจิตนำออกไป
แต่เมื่อใดที่มันปรากฏ รู้...ไม่สนใจ
รู้...ไม่สนใจ นี่คือระวัง ระงับ ให้มันอยู่ในกรอบของมรรค ให้มันอยู่ในกรอบกาย-ใจ ไม่ให้มันออกนอก ไม่ให้จิตออกไปเกลือกกลั้ว
ทั้งในแง่กุศลและอกุศล คือในแง่ยินดีและยินร้าย
ไม่กลางก็ต้องกลางน่ะ ...เป็นปกติยืนเดินนั่งนอน มันไม่กลางยังไง ฮึ ใช่มั้ย กายตรงนั้นน่ะมันตึงรึเปล่า ขามันกระทบแล้วมันยืนอยู่
มันมีความรู้สึกเป็นกลางที่เขาแสดงความตึง ‘กูไม่รู้ไม่ชี้กับโลก
กับธรรมทั้งหลายทั้งปวง กูก็ตึงของกู
โดยไม่มีหน้าอินทร์หน้าพรหมมาทำให้กูไม่ตึงไม่ได้ เพราะกูไม่ใช่ของใคร’
นี่
เขาแสดงความเป็นกลางโดยแน่วแน่ในธรรม ตรงต่อธรรม ชัดเจนในองค์ธรรม ... มีแต่ “เรา” น่ะไม่ตรง “เรา” น่ะบิด “เรา” น่ะคด
“เรา” น่ะงอ ด้วยความหมายมั่น ด้วยความคาดหวัง จิตมันคาด ...ไอ้ตัวคาดหวังนั่นแหละคือปัญหา...มีจุดหมาย
โกรธ...มันต้องว่าเพื่ออะไร ใช่มั้ย
หงุดหงิดเพื่ออะไร มันต้องมีจุดหมาย คือหมายว่าเขาจะต้องเปลี่ยนไป แล้วเราก็สบายขึ้น
เห็นมั้ย กิเลสมันต้องมีจุดหมาย
ไอ้จุดหมายของมันน่ะคือตัณหา
ทั้งบุญทั้งบาปน่ะมันต้องมีจุดหมาย มันต้องมีความหมายมั่น มีจุดเส้นชัยอยู่
แล้วมันจะต้องมุ่งเข้าเส้นชัยนั้น แล้วคนที่จะได้ผลจากการที่เข้าถึงเส้นชัยนั้นก็คือ
“เรา”
เห็นมั้ย ทั้งหมดน่ะมันเกิดจาก “เรา”
แล้วยังจะวิ่งไปเส้นชัยนั้น แล้วมันก็ได้รางวัล มีความพอใจแล้ว มีความอิ่ม
ได้กินแล้ว ได้รางวัลแล้ว “เรา”
ถึงบอกว่าถ้าแก้ตรงนั้น
แก้ตรงโน้น มันแก้แบบสะเปะสะปะ ... ตีงู...ตีหัวสิ
ตีตรงที่ “เรา” ...ตายหมด ตายยกคลอก
เพราะนั้นการที่อยู่ในองค์มรรค
ท่ามกลางกาย-ใจนี่ มันจะสำเหนียกในกายและใจ มันจะเกิดความสำเหนียกโดยปริยาย ...อยากคิดก็ตาม ไม่อยากคิดก็ตาม
ไม่อยากเห็นมันก็ตาม ไม่อยากเข้าใจหรืออยากเข้าใจมันก็ตาม ... มันถูกบังคับโดยปริยาย
เพราะมันเห็นอยู่แค่อันเดียว ยังไงมันก็ต้องแจ้ง ไม่อยากแจ้งก็ต้องแจ้ง เพราะมันไม่รู้จะไปไหน
คือมันเห็นกันนี่...เหมือนผัวเมียน่ะ เป็นผัวเมียกันแล้วนี่
ไปไหนกูตามจิกตลอด มึงห้ามหันหน้าไปจากหน้ากูเลย มึงต้องเห็นหน้ากูหน้าเดียว
ไม่มีรักโลภโกรธหลงหน้าอื่นหรอก มันก็เห็นชัดจนไฝฝ้าหน้าหนวดน่ะ กี่เม็ดกี่ซี่
มันก็ชัดเจน...ว่ามึงไม่ใช่คน นั่น เข้าใจป่าว
โยม – (หัวเราะ)
พระอาจารย์ – แต่ถ้ามีกายนู่นกายนี่ไป
ไอ้นั่นก็สวย ไอ้นี่ก็ไม่สวย...ไอ้อย่างนี้มันไม่แจ้งอะไรสักอย่างหรอก ...เอาจนเห็นหน้าเมียแบบ ‘มึงเป็นแค่นี้เอง’ นั่น เหมือนกาย-ใจที่ไม่พรากจากกัน ...ไม่รู้ก็ต้องรู้แล้ว เพราะมันไม่ไปเห็นที่อื่น
นั่นน่ะ ด้วยอำนาจของสมาธิ
จิตตั้งมั่น จิตเป็นหนึ่ง...หนึ่งกับสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน ไม่รู้ก็ต้องรู้แล้ว
สัมมาสมาธิ มันเป็นภาคบังคับเลย ปัญญามันก็เกิดเอง
โดยที่ว่าไม่ต้องอยากได้หรือไม่อยากได้ ...มันต้องได้ มันต้องเป็นอย่างนั้น
ไม่เป็นอย่างอื่นหรอก
และไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนด้วย ...มันจะเคลื่อนได้ยังไง
ก็เมียมันเกาะเหมือนกับเชื้อโรคอย่างนี้ มันจะไปมีชู้ได้ยังไง เห็นมั้ย
ใจเดียวอย่างนี้ ไม่หลายใจ ไม่รู้มาก ไม่หามาก ไม่โลภมาก
เมื่อมันรวมเป็นหนึ่งเป็นสายตรงเส้นเดียวนี่
มันก็มีพลัง พลังของสติ พลังของสมาธิ พลังของปัญญา มันแก่กล้าขึ้นจนจำแนก แยกธาตุ
แยกขันธ์ แยกอายตนะ แยกทิฏฐิ แยกความเห็น แยกสัมมา แยกมิจฉา
ออกกระจัดกระจายหมดแหละ แตก...จนเหลือแต่เนื้อธรรมล้วนๆ กายล้วนๆ ที่สักแต่ว่า แค่นั้นแหละ
…………………