พระอาจารย์
8/34 (add550520B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
20 พฤษภาคม 2555
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 8/34 ช่วง 2
พระพุทธเจ้าไม่เคยแบ่งวิถีการปฏิบัติเลยนะ ...ธรรมท่านบอกว่ามีมรรคอยู่ตัวเดียวเท่านั้นแหละ มรรคมีองค์แปด คือศีลสมาธิปัญญา
หรือไตรสิกขา เรียกว่ามรรคมีองค์แปด
ไม่เห็นมีธรรมกายเลย
ไม่เห็นมียุบหนอพองหนอเลย ไม่เห็นมีพุทโธ อสุภะอสุภังอะไรเลย ไม่เห็นมีมหาสติปัฏฐานเลย
ไม่เห็นมีปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติอะไรเลย
ถ้าพูดโดยหลักตรงๆ เลยนะ
ว่ากันแบบปฏิบัติมานี่ ก็ว่ากันโดยมรรค มรรคมีองค์แปด ...แต่เราก็บอก องค์แปดมากไป
เดี๋ยวงง เอาเหลือสาม ไตรสิกขา...ศีลสมาธิปัญญา
นี่มีหลักแล้วนี่ ...แล้วคราวนี้เราก็ต้องถามก่อนว่า มีศีลรึยัง ...ศีลห้ามี สี่ก็มี บางคนก็สาม
บางคนก็ข้อนึง เอ้า แล้วแต่ ช่างหัวมึง ไม่ว่ากัน...แต่นั่นคือศีลภายนอก
เข้าใจมั้ย
แต่ศีลในความหมายของไตรสิกขา
ศีลในองค์มรรคนี่...ศีลคือแปลว่า ปกติ ปกติกาย ...ถามว่าปกติกายนี่มีมั้ย ตอนนี้มีมั้ย
มีอยู่แล้วใช่มั้ย
จะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม
มันมีอยู่แล้วใช่มั้ย ...มันมีมาตั้งแต่มีกายมาเลย นับตั้งแต่มีกายออกมาจากท้องแม่เลย
มันก็มีความแสดงความเป็นปกติกายอยู่แล้ว
เห็นมั้ย
เพราะนั้นตัวกายนี่คือตัวองค์ศีลอยู่แล้ว ...แต่เราไม่รักษาศีล เข้าใจมั้ย ศีลน่ะมี แต่ไม่รักษา ปกติกายมี แต่ไม่รักษาความเป็นปกติกายไว้
จะรักษาความต่อเนื่องของปกติกายยังไง...สติ
ใช่มั้ย ถ้าไม่มีสติ มันก็ไม่รู้ว่ากายกำลังอยู่ในอาการไหน มีปกติยังไง ในอาการนั่งปกติยังไง
ลมพัดนี่ก็เป็นปกตินะ
นั่งอยู่แล้วก็รู้สึกว่าตึง แน่น ข้างล่างที่เข่าที่แข้ง ปกติใช่มั้ย ...แล้วมันจะรู้ความปกตินี้ได้ต่อเนื่องเพราะอะไร...สตินะ ...ถึงบอกว่า ศีลมี..ไม่รักษา
นี่เรายังไม่ได้พูดถึงศีลห้าศีลแปดเลยนะ ...เราพูดถึงศีลกาย เราพูดถึงมหาศีล
เราพูดถึงศีลใหญ่ เราพูดถึงศีลที่เป็นกลาง เราพูดถึงศีลที่มีทุกคนในสัตว์โลก
เราพูดถึงศีลที่เป็นธรรมชาติ
แต่ทำยังไงถึงจะรักษาศีลธรรมชาตินี้
ที่มีอยู่แล้วนี่ ให้ต่อเนื่อง ...ต้องมีสติ
เอาสติเข้ามาระลึกรู้เห็นความปกติกายนี้ ...นี่เรียกว่าการเจริญศีลสิกขา เบื้องต้นของมรรคเลยนะ
อยู่ดีๆ มาถึงก็หลับหูหลับตาพุทโธๆๆ อยู่ดีๆ หลับหูหลับตา จะเอาความดับๆๆ ว่างๆๆ ดับๆ ว่างๆ เอาปัญญาล้วนๆ เสร็จมะก่องด่อง ...เพราะไม่มีศีลเป็นพื้นฐาน
ปกติกายนี่ คำว่าศีลนี่ มาจากคำว่า
ศิลา ศิลาแปลว่าศีล ศิลาแปลว่าแผ่นดิน ...ถ้ามีศีล รักษาความปกติกายได้ต่อเนื่องนี่
จิตจะมีความหนักแน่นและตั้งมั่นของมันขึ้นมาตามลำดับ
เชื่อ-ไม่เชื่อ ...ไม่รู้ ลองดูเอง...อันนี้ต้องลองนะ ...เราไม่โฆษณาชวนเชื่อ ต้องเอากายวาจาใจท้าพิสูจน์ จะมาเชื่อแบบสุ่มๆ เดาๆ ไม่ได้ ...ไปทำดู ต้องลองดูว่า เอาสักตั้งนึงวะ
ลองดูสักชั่วโมง ดูสิว่าไม่ออกนอกกายนี้ ดูความปกติกายดูสิว่าจิตมันจะตั้งมั่นจริงมั้ย...เดี๋ยวรู้เอง ...แล้วเราลองเทียบดู
ทั้งวันเรารู้ตัวกี่ครั้ง เรารู้ตัวกี่นาที เรารู้ตัวได้ต่อเนื่องมั้ย
นั่นแสดงว่าอะไร
ศีลบกพร่องมั้ย ทะลุมั้ย ด่างพร้อยมั้ย แหว่ง เว้า วิ่น ขาด ...ถึงแม้จะมีศีลห้า ศีลแปด ศีลสาม
ศีลสอง ก็แค่นั้น ไม่ว่ากัน
แต่ว่าศีลในองค์มรรคนี่ ไม่มีเลย แทบจะไม่มีเลย ...แล้วก็จะไปนั่งให้สงบ ให้เกิดสมาธิๆ มันจะเกิดได้ยังไง หือ ...เพราะสมาธิไม่ได้แปลว่าสงบ
สมาธิแปลว่าตั้งมั่น
คือจิตตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน นั่นแหละเขาเรียกว่าสมาธิ
หรือสัมมาสมาธิ ...สงบคือสมถะ คือฌาน หรือเพ่ง คนละเรื่องกันเลย คนละเรื่องกัน
เพราะนั้นศีลสมาธิปัญญา
พระพุทธเจ้าต้องการให้เกิดสมาธิตรงนี้ ...คือตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่หวั่นไหวไปกับความคิดความปรุงแต่ง ไปกับรูปเสียงกลิ่นรสที่มากระทบ
อันนี้ต่างหาก
จึงจะเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญาญาณนะ นี่ ...รู้ตัว ยืนเดินนั่งนอน รู้อยู่ที่กาย
เห็นอยู่ที่กาย อันเดียว …ไม่ต้องไปพุทโธแล้ว
ไม่ต้องพุทโธกำกับด้วย
รู้ไปดูไป อันไหนเป็นกาย
อันไหนเป็นรู้ ดูไป มันจะเห็นอะไรนอกเหนือจากกายที่มันแสดงอยู่ ...เพราะมันรักษาศีลอยู่ตลอดเวลา คือรักษาปกติกายอยู่
แล้วมันจะเห็นอะไรนอกเหนือจากกาย หือ
มันจะเห็นอะไรนอกเหนือจากความเป็นปกติกายที่เขาแสดงอยู่ตามความเป็นจริง ไม่ต้องคิดเลย ไม่ต้องค้นอะไรเลย …มันไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วว่าปกติกายคืออะไร
ไม่ต้องคิดเลยนะ ไม่ต้องวิเคราะห์เลยนะ
ไม่ต้องไปเปิดตำราเลย ...นี่มันมาแยงลูกตาต่อหน้าเลย
ว่าเขาแสดงความเป็นจริงอยู่เต็มหูเต็มตานี่ ว่าปกติกายคืออย่างนี้
ปัญญาเกิดแล้ว
ปัญญาก็ค่อยซึมซาบเกิดขึ้น เชื่อขึ้น อ๋อๆๆ อย่างนี้เอง ...ไอ้ที่เคยบอกว่าสวย-ไม่สวย
ไอ้นั่นไม่จริงแล้ว เริ่ม อ๋อ ความเป็นจริงมันเป็นแค่นี้เอง
เนี่ย เห็นมั้ย
ศีลมี...สมาธิเกิด
สมาธิเกิด..ปัญญาเกิดตามมา ตามลำดับของเขา
ไม่ยาก...แต่ทำให้ต่อเนื่องน่ะยาก ...เพราะต้องอาศัยความต่อเนื่อง ถ้าศีลไม่ต่อเนื่อง ศีลยังไม่บริบูรณ์
ถ้าศีลยังบกพร่องอยู่นี่ มันก็เห็นแต่กระพร่องกระแพร่ง ขาดๆ วิ่นๆ
มันก็เลยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่งๆ เดี๋ยวก็กรรมการแปดสิบ-วัดยี่สิบ ไอ้กรรมการครึ่งหนึ่งวัดครึ่งหนึ่งไม่ค่อยจะได้เจอเท่าไหร่
แต่ถ้ามันต่อเนื่องไปนี่ วัดเก้าสิบ-กรรมการสิบ ...มันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว
เพราะมันไม่มีอะไรจริงกว่านี้แล้ว มันจริงโดยที่ว่าไม่ได้มีอะไรมาอ้างอิงเลย
มันจริงโดยที่ว่าไม่ได้มีตำรามาอ้างอิงด้วย
มันจริงโดยที่ไม่ได้มีคำพูดคำสอนแม้กระทั่งพระพุทธเจ้ามาอ้างอิงด้วย ...มันจริงโดยที่มันเห็นกับตา รู้อยู่กับใจ เห็นอยู่กับใจ
ใครจะมาเถียงมันได้
ใครจะมาลบล้างความจริงนี้ได้ ใครจะมาบอกว่านี้ถูกนี้ผิดไม่ได้แล้ว ...เนี่ย ถึงเรียกว่าสัจธรรม
มันเป็นสัจจะ
ถ้ามันเห็นเข้าไปถึงสัจจะ ซ้ำๆๆๆ
ในสัจจะที่ไม่มีอะไรมาลบล้างแล้วนี่ เรียกว่าเข้าถึงสัจธรรม ...เมื่อมันเข้าถึงสัจธรรมแล้ว
ไอ้จิตที่มันไม่ใช่สัจธรรม มันเป็นสัจจะกู สัจจะเรา
แล้วมันเอาเราเข้าว่า
มันเอาความคิดของเราว่า มันเอาความเห็นของคนอื่นว่า ไอ้พวกนี้ไม่จริงหมดเลย ...มันก็ลบไปล้างไปๆ
ความเห็นความเชื่อเหล่านี้
แล้วทำไมต้องมาเห็นกายที่เป็นอย่างนี้ล่ะ ...ก็เพราะมันเห็นกายนี้...ทุกข์ เห็นกายนี้เป็นของเรานี่ ยิ่งทุกข์เลย
“ทำไมเราถึงเป็นอย่างเนี้ย ทำไมเราถึงเมื่อยล่ะ ทำไมเราถึงต้องแก่ล่ะ ทำไมเราถึงต้องตายล่ะ”
นี่ต่างหากคือตัวทุกข์ ...ถ้าตราบใดยังเห็นว่าก้อนนี้กองนี้เป็นเราของเราเมื่อไหร่
ความทุกข์ในก้อนนี้กองนี้ก็จะบังเกิดขึ้นกับจิตที่ไม่รู้นั้นเอง
ไม่ได้ไปเกิดที่ใครเลยนะ
มันเกิดที่จิตไม่รู้ที่มันไปหมายเองนั่นแหละ แล้วมันก็ยึดเองนั่นแหละ แล้วมันก็ทุกข์เอาเองนั่นแหละ
แล้วมันก็ออกจากตัวของมันเองไม่ได้
เมื่อมันออกไม่ได้ ทำยังไง ...มันโทษไง
มันโทษอันนั้นอันนี้ โทษฟ้าโทษลมโทษฝนโทษโชคชะตาลิขิต โทษอดีตโทษอนาคต
โทษคนนั้นทำไม่ดี โทษหมอรักษาไม่ดี ทำให้กูตาย
มันโทษไปหมด ทั้งๆ
ที่ว่าตัวมันเองนั่นแหละเป็นตัวให้เกิดทุกข์ หาเรื่องให้เกิดทุกข์ ...แล้วมันก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างจริงๆ จังๆ
แล้วพอเขาไม่ได้แสดงความเป็นจริงอย่างที่มันยึดมั่นถือมั่น
ก็เป็นทุกข์ ไม่ยอมรับ ...เพราะนั้นถึงบอกว่า
ต้องเห็นตามความเป็นจริงของกายว่าคืออะไร ว่ามันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงคืออะไร
ถ้ามันเห็นแล้วก็ยอมรับธรรมชาติที่แท้จริงของกายเมื่อไหร่ การเข้าไปขวนขวายในกายก็น้อยลงจนถึงหมดไป นี่ มันตาย...เออ ดี มันไม่ตาย...ก็ดี ตาย..ก็ดี
เพราะอะไร ...ไม่ใช่เรื่องของเรา
เป็นเรื่องของมัน เป็นเรื่องของขันธ์ ไม่ใช่เรื่องของเรา ...ถ้าดอยมันแตกลงมานี่
โยมจะรู้สึกยังไง...กระเทือน แต่ไม่รู้สึกดีใจเสียใจสักเท่าไหร่หรอก
เพราะอะไร ...มันไม่ใช่ของกู
เรื่องของมึง อาจจะดีใจเสียใจนิดนึง เดี๋ยวก็ลืมแล้ว
เพราะว่าไม่ใช่สมบัติของเราแต่ประการใดนี่
แต่อย่าให้เราเอาตีนไปถีบรถโยมนะ...เดือดเลย รถมันก็ไม่เดือดนะ ข้างในนี่มันเดือดน่ะ ...มันเดือดเพราะอะไรล่ะ หือ
มันเดือดได้ยังไง...ก็เอาตีนถีบรถน่ะ ไม่ได้ถีบโยมนี่ ทำไมมันโกรธล่ะ
เห็นมั้ย เมื่อใดที่เป็นเราของเราน่ะ
ทุกข์นะ กับข้าวของที่ไม่มีชีวิต เขาตั้งอยู่บ่ดาย ซื่อๆ นี่ภาษาเหนือ บ่ดายนี่ ...ยังเดือดร้อนแทนกันเลย ของกูน่ะ ของผมน่ะ
มันบอกมั้ยนั่นน่ะ ...ก็เราถามมันก่อนถีบด้วยว่าของใคร...มันไม่พูดก็เลยถีบน่ะ มาเดือดร้อนทำไม เห็นมั้ย เนี่ย ปัญหาไงที่ทำไมถึงต้องมาภาวนา
ทำไมถึงต้องให้มาเห็นความเป็นจริงอย่างนี้
ตอนนี้ยังไม่ค่อยรู้สึกกันหรอก
ใกล้ตายก่อนเหอะ...เดี๋ยวรู้ “รู้งี้กูภาวนาตั้งแต่อาจารย์บอกแล้ว” ถึงวาระนั้นน่ะ
ฮึ เรียกหาพระอรหันต์มาเทศน์ให้ฟัง มันก็บอก...ไปไกลๆ กูหน่อย จะตายห่าอยู่แล้ว
หนวกหู
จิตมันไม่รับเลย บอกให้ ...มันจะกระวนกระวาย กระวีกระวาดอยู่แต่ว่า “ทำยังไงดีๆ” ...มันจะหนีก็หนีไม่ออก
จะวางจิตตรงไหน มันไม่รู้จะวางตรงไหนเลย
ทุกข์ในขันธ์ ทุกข์ในกาย ทุกข์ในเวทนากายนี่
ไม่ใช่เล็กน้อยนะ ...ถ้าใครเคยใกล้ตาย ใครเคยมีเวทนาป่วย เจ็บป่วย มีเวทนามากๆ นี่
จะรู้ว่า อย่ามาพูดอะไรใกล้ๆ หูกูนะ กูโกรธ (โยมหัวเราะ)
มึงมาเยี่ยมก็นั่งเฉยๆ นะ อย่ามาแหยม
อย่าแนะนำ ...มันไม่เอาอะไรเลยนะ มันพร้อมที่จะมีเรื่อง หาเรื่อง จิตมันพร้อมที่จะเป็นอกุศลตลอดเลยตอนนั้น
ไม่ได้พูดเล่น...ทุกคนต้องเจอ
ต้องเจอแน่ๆ อันนี้เป็นไฟท์บังคับ ...แล้วยังไง ถ้าเราไม่เตรียมตัวตั้งแต่เดี๋ยวนี้
ถ้าไม่ฝึกอบรมให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วนี่
ถึงวาระนั้นนี่ ใช้การอะไรไม่ได้เลย ...เป็นอาจารย์จบด๊อกเตอร์ จบเมืองนอก มีเงิน มีทรัพย์สิน มีชื่อเสียง มีบริวาร
ถึงเวลานั้นช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ
ปัญญาความรู้ที่เรียนถึงขึ้นด๊อกเตอร์ดุษฎีบัณฑิตขนาดไหน
เอามาใช้ตอนนั้นไม่ได้เลย นั่น ...มีแต่คำพูดเรานี่...ให้จำจนตายเลยว่า
“รู้เฉยๆ” ตัวนี้จะสู้ได้ และเอาอยู่...สู้ได้และเอาอยู่
(ต่อแทร็ก 8/35)