วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 8/23


พระอาจารย์
8/23 (550802B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
2 สิงหาคม 2555


พระอาจารย์ –  เพราะนั้นในการปฏิบัติ เราไม่ได้พูดเรื่องอะไร ต้องไปอะไร ...ถามว่ากายมีมั้ย ก็ต้องตอบว่ามี  ถามว่าที่ไหนไม่มีกายบ้าง ก็ต้องตอบว่าไม่มี

ตราบใดที่ยังมีชีวิต ไม่มีที่ไหนไม่มีกาย  หลับก็ยังมีกาย วางยาสลบก็ยังมีกาย  ตราบใดที่จิตมันยังไม่หนีออกจากกาย หรือยังไม่หมดวาระแห่งการผูกพันกันอยู่ในกาย...ก็ต้องมีกาย  ที่ไหนไม่มีกาย..ไม่มี

แต่พวกเราอยู่ได้อย่างไรโดยที่ไม่มีกาย ...เพราะนั้นไอ้ที่พวกเราอยู่โดยไม่มีกายนั่นน่ะ มันจริงมั้ย มันเป็นจริงมั้ย ...ไม่จริงน่ะ ตรงนั้นน่ะที่นั้นน่ะไม่จริงนะ

แต่ที่ใดที่มีกายอยู่และอยู่ตรงนั้น...ที่นั้นจริง ...เพราะนั้นถ้ามันอยู่ในที่ที่มันจริงนี่ ก็จะเห็นความจริง ...ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าปัญญา หรือญาณ คือเห็นความเป็นจริง

ก็ตราบใดที่มันไม่อยู่ในที่จริงนี่ มันจะเห็นความเป็นจริงมั้ย ...เห็น..แต่ไม่จริง รู้..แต่ไม่จริง มันเคลื่อน เลื่อนลอย มีผลไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน หลายลักษณะอาการเป็นผลเกิดขึ้น ไม่เป็นผลอันเดียวกัน

เพราะนั้นผลต้องมีหนึ่ง...เพราะธรรมมีหนึ่ง ...รู้ธรรมเห็นธรรมที่เป็นหนึ่ง ผลก็ต้องเป็นหนึ่ง คือความดับ ความสิ้น...เป็นธรรมดา

แต่ถ้ามันไปเห็นหรือไปอยู่ในที่ที่ไม่จริง แล้วไปทำอะไรอยู่ในที่ที่ไม่จริงแล้วมีผลนั้นเกิดนี่  มันจะมีการดำรงคงอยู่ ...เมื่อใดที่มันมีการดำรงคงอยู่หรือเที่ยง หมายความว่าขณะนั้นจะต้องมี "เรา" เข้าไปสวมเสวย ทรงอยู่ เสพอยู่ อันนี้แน่นอน

แต่เมื่อใดที่เราอยู่กับความเป็นจริงคือกายใจปัจจุบัน แล้วเราก็เห็นความจริงแค่กายใจปัจจุบัน จนถึงที่สุดของความจริงคือกายใจปัจจุบัน ...ก็จะเห็นว่า...ผลเดียวกัน

ไม่ว่าจะเดินมาจากทางเส้นไหน ...จะเดินมาจากพุทโธ จะเดินมาจากยุบหนอพองหนอ จะเดินมาจากสัมมาอรหัง จะเดินมาจากการพิจารณากายเป็นอสุภะอสุภัง เป็นธาตุเป็นปฏิกูล

ก็จะเห็นที่สุดของความจริงนี้...เหมือนกัน...คือความดับไปเป็นธรรมดาเพราะนั้นผู้ที่เห็นความจริงเหมือนกันตรงนี้แล้ว จะไม่เถียงกันเลย

ไอ้ที่มันเถียงกันอยู่นี่ เพราะมันไปอยู่ในของที่ไม่จริง แล้วมันไปดำรงคงสภาพอยู่กับของที่ไม่จริง ...แล้วไอ้ของที่ไม่จริงน่ะมันเป็นของหลายสิ่งหลายอย่าง...ปะปนกันไป

อาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งอย่างไร ผลมันก็แตกต่างกันไปอย่างที่ดำรงปรากฏขึ้นอย่างนั้น ...เพราะการประกอบเหตุปัจจัยด้วยความจงใจด้วยเจตนาต่างกันอย่างไร ผลก็ดำรงขึ้นมาไม่เหมือนกัน

แต่ทั้งหมดคือไม่จริง ยังไม่ถึงความจริง ยังไม่ใช่ของจริง แล้วยังไม่เห็นของจริงด้วย ...มันเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่จิตผู้ไม่รู้นี่แหละไปสร้างไว้ แล้วหลงเข้าไปในอาการของจิตผู้ไม่รู้แล้วสร้างเป็นฐานที่ตั้ง 

เป็นภพที่อาศัย ที่ “เรา”นี่เข้าไปอาศัยในภพนั้นๆ ...ไอ้การที่ว่า “เรา” ไปอาศัยในภพนั้นๆ ในสิ่งที่จิตมันรังสรรค์สร้างสรรค์สังเคราะห์ขึ้นมานั่นน่ะ เรียกว่าการเกิด ...จิตมันเข้าไปเกิดในภพนั้น

ถ้าจริงจัง หมายมั่นขึ้น มากขึ้นเท่าไหร่ ...ก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นเท่านั้น ก็เกิดความถือตัวถือตนมากขึ้นเท่านั้น...กับสิ่งที่ไม่จริง

แล้วมันจะออกได้ไหม ถ้ามันยังเชื่ออยู่นั่นน่ะว่ามันเป็นของจริง ...จนกว่ามันจะออกได้ ต่อเมื่อเห็นว่ามันไม่จริง

แล้วตัวไหนที่จะมาเทียบระหว่างจริงกับไม่จริง ...เนี่ยล่ะคือมรรค เนี่ยละคือปกติ เนี่ยละคือปกติกายใจปัจจุบัน

ถ้าไม่มีฐาน หรือตัวที่เป็นบรรทัดฐาน เป็นมาตรฐานไว้เปรียบเทียบนี่ ...มันจะไม่รู้หรอกว่าอะไรจริงหรือไม่จริง มันจะมั่วซั่วไปหมด

บอกแล้วไงว่าทางเดินมันอยู่ตรงนี้ ซึ่งทุกคนมีกายใจนี่...ปกติกายปกติใจ ...และไอ้สองข้างนี่คือสุขกับทุกข์ สุขกับทุกข์...คือบ่อกระทะน้ำร้อนกับน้ำเย็นอย่างนี้ ...มันจะกระโดดข้ามไปข้ามมาอย่างนี้

มันข้ามความเป็นจริง ข้ามสิ่งที่มีอยู่จริงไปอยู่กับสิ่งที่ไม่จริง ...มันไปอยู่ จนหลงระเริง หรือว่ามีพวกมากลากไปบอกว่าไอ้นี่จริงๆ น่ะ...ซึ่งลึกๆ มันก็เชื่ออยู่แล้วว่าไอ้ที่ไม่จริงนี่จริงน่ะ

พอให้กลับมาเดินอยู่บนความจริง มันดันบอกว่าไอ้ความจริงนี่ไม่จริง ใช่มั้ย ...เพราะอะไร ...มันคุ้นเคย เนี่ย หรือว่าสันดาน หรือว่าอนุสัย หรือว่าอาสวะ

ที่มันบอกว่า... ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไรหรอก อย่างนั้นใช่กว่า ไม่เห็นมีความสุขเลย ไหนว่านิพพานัง ปรมัง สุขขัง ไง อยู่อย่างนี้ไม่เห็นมันจะได้ท่าได้ทางเลยว่ามันจะเข้าไปถึงที่สุดของความเป็นบรมสุข

นี่มันคิดนะ มันคิดเอามันก็เลยถอนตัว หรือว่าลาออก หรือว่าหลุดออกนอกมรรคไป ...แล้วเวลาก็ผ่านไปโดยไม่หวนคืน

ครูบาอาจารย์ก็พูดซ้ำพูดซาก ย้ำไปย้ำมา ก็อยู่ตรงจุดนี้ ...ไม่เอาดี ไม่เอาวิเศษวิโสอะไรหรอก เอาว่าให้ทุกคนมาเดินอยู่จุดนี้ให้มากที่สุด ให้ตั้งหน้าตั้งตา จากขี้เกียจก็ให้มันรู้จักดู พูดมันจนมันหายขี้เกียจน่ะ 

จนมันขยัน จนมันสำเหนียกด้วยตัวของมันเองได้ว่า...เออ ไม่เอาแล้ว ไม่ไปหลงกับหม้อกระทะทองแดงคือความเร่าร้อน ทั้งสุขและทุกข์อีกต่อไป ...ก็จะได้เลิกพูดกันไป ไม่ต้องพูดมาก

แต่ไอ้ที่พูดอยู่ทุกวันนี่คือ มรรคมี...แต่ไม่เดิน ไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่ไม่รู้ ...ไอ้คนที่ไม่รู้นี่คือคนที่ยังไม่มาฟัง หรือฟังบ้างแต่ไม่ชัดเจน แล้วก็ลังเลไม่แน่ใจ 

แต่เรานี่พูดแบบ นั่งยัน นอนยัน ยืนยัน เดินยัน ...ยันมันทุกที่ว่ามรรคคือ “ที่นี้...กายใจปัจจุบัน” ด้วยความเป็นปกติ ไม่สูง-ไม่ต่ำกว่านี้...เป็นธรรมดา ...ถึงบอกว่า ศีลคือปกติ กายวาจาปกติคือศีล

เพราะนั้น พระพุทธเจ้าถึงวางกรอบของศีลไว้เป็นรากฐาน เป็นบรรทัดฐาน เป็นมาตรฐาน standard ...ตัวนี้เป็นตัวพิสูจน์คุณภาพของสินค้า ว่ามันเลิศหรือมันต่ำเกิน

เลิศเกินก็ไม่เอา ต่ำเกินก็ไม่เอา ต่ำเกินคือหลงลืม เลิศเกินคือไปจงใจทำให้มันได้อย่างนี้อย่างนั้นอย่างนู้น หรือให้เห็นอย่างนี้อย่างนั้นอย่างโน้น ที่มันลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ

เนี่ย เพราะนั้นตัวศีลนี่คือมาตรฐาน standard ...ถือว่าคุณภาพสูงสุดอยู่ตรงนี้ คือธรรมดา คือปกติ คือธรรมชาติที่ปรากฏตามจริง

เพราะนั้น พอจิตมันเริ่มไปค้น ไปควาน ไปหา ไปสร้าง ไปทำลาย อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่มันนอกเหนือจากนี้ไป ...สติระลึกหวนคืน ทวน คืน กลับสู่มาตรฐานธรรมดา

นั่นแหละที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ารักษาศีล ...จนจิตนี้ไม่ล่วงละเมิดออกจากศีล ไปควาน ไปค้น ไปหา ไปทำ...อะไรที่เกินจากปัจจุบัน อะไรที่เกินจริง เหนือความจริงในปัจจุบัน

เมื่อผู้ปฏิบัติเพียรรักษาศีลด้วยการเจริญสติ ระลึก หมั่น ขยัน ...จิตจะดำรงตัวมันเองขึ้นมาตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นหนึ่งอยู่กับกายที่เป็นปกติกายนี้แหละ

นี่แปลว่าอะไร ...แปลว่าผู้ปฏิบัติคนนั้น กำลังเดินไปบนมรรคด้วยความมั่นคงขึ้น ชัดเจนขึ้น ตั้งใจขึ้น ไม่ล่อกแล่ก ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่ลังเลสงสัย 

ก็เรียกว่าไม่กลัว ไม่ต้องคอยเหลียวซ้ายแลขวา หาถูกหาผิด หรือหาว่ามีเพื่อนเดินมั้ย เคยเดินมั้ย จะถูกมั้ย ...มันจะมีความมั่นคง นั่น สัมมาสมาธิ

เพราะนั้นเมื่อมันมั่นคงแล้วมันไม่หวั่นไหว เหลียวหน้าล่อกแล่กไปมา ...มันก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินขึ้น เร็วขึ้น ไม่พลัดตกหกล้ม ร่วง ไหล หลุด ลื่น ออกจากปกติกายได้ง่าย

เพราะนั้นระหว่างที่มันเดินไปด้วยความมั่นคงนั่นน่ะ ท่ามกลางความปกติกายปกติใจนี่ ...มันจะเห็นรายล้อมรอบข้างที่ร้องกันระงมเลย เป็นเสียงสำเนียงอาการลักษณะของสรรพสิ่ง ...นี่ เหมือนเป็นแค่วูบๆ วาบๆ ไหวๆ หวั่นๆ

แต่มันเห็นในลักษณะที่ว่า...กูจะตั้งใจเดิน กูไม่สนใจเลย...หมายความว่า มันก็เป็นแค่อะไรที่ไม่สามารถจะมาฉุดมารั้งได้ ...นี่เขาเรียกว่าเดินในองค์มรรค จะเป็นอย่างนั้น

เพราะนั้น สิ่งที่รายล้อมนี่ มันเหมือนกับไม่มีราคา ...เหมือนกับไม่สามารถจะมาชักจูงออกนอกมรรคได้

เมื่อมันไม่สามารถชักจูงออกนอกมรรค มันจะอยู่ได้แค่ไหนล่ะ ..มันก็ได้แค่...เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง ไม่สามารถแตะต้องผู้ที่กำลังดำเนินอยู่ในองค์มรรค คือกายใจนี้

อาจจะมีบางครั้ง บางเรื่องบางราวที่เกิดขึ้น หรือมันสัมผัสสัมพันธ์กับผู้ที่เดินอยู่ภายในแล้วมีอนุสัยสันดานติดข้องอยู่ที่ให้ค่ามาก อาจจะมีอาการไหวหวั่นหันดูบ้าง ...แต่เท้ายังเดิน ไม่เคลื่อนตามอาการหวั่นอาการไหว

ลักษณะอย่างนี้หมายความว่า มันก็เลิกละเพิกถอนอนุสัยสันดานเดิม ที่จะไปมี..ไปเป็นกับภพที่มันเร่งเร้า รุมเร้าให้เข้าไปมี..เข้าไปเป็นกับมันโดยปริยาย


(ต่อแทร็ก 8/24)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น