วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 8/22



พระอาจารย์
8/22 (550802A)
2 สิงหาคม 2555


พระอาจารย์ –  มรรคไม่ได้มีไว้ให้ข้าม ...นี่เขาเรียกว่าลบหลู่ ลบหลู่มรรค ลบหลู่กายใจตัวเอง ...กายใจเป็นมรรคเป็นทาง กลับข้ามหัวไปอย่างงั้น

ก็เลยเทศน์ซะวันนี้เลยว่ามรรคคืออะไร มีอยู่แล้วทุกคน ...เราถึงพูดบ่อยไง การเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ขันธ์ห้าเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว...ถือว่าเป็นสมบัติส่วนตัวนะ ได้อัตตาตัวตนนี้มา

ไม่จำกัดว่าเป็นคนไทย คนพุทธ ...สัตว์โลกมนุษย์โลกทั้งหลาย พอ "Hello...Earth" ขึ้นมาแล้วนี่ หมายความว่ามีสิทธิ์ทุกคน ได้กรรมสิทธิ์พร้อมกับรูปสมบัติกายสมบัติ

คือมันได้สิทธิ์อะไร  สิ่งที่ได้ติดมา...กายสมบัติรูปสมบัติหรือขันธ์ห้านี่คืออะไร ...คือได้มรรคมาพร้อมกันเลย ได้ทางน่ะ พร้อมกับการเกิดออกมาเป็นมนุษย์

โดยไม่จำกัดว่าศาสนาไหน วรรณะไหน เพศไหน สถานะไหน สถานที่ไหน ...เห็นมั้ย เกิดมาทุกคนปุ๊บนี่ เกิดมาพร้อมกับสิทธิ์...กรรมสิทธิ์ในองค์มรรค

แต่คนไทยคนพุทธนี่  ถือว่าได้สิทธิ์พิเศษ ถือว่าได้โอกาสมากกว่าคนหลายพันล้านในโลก ...คนที่ไม่ได้นับถือพุทธ ก็คือได้สิทธิ์แต่มันขาดโอกาสพิเศษ

กรรมและวิบากที่ต่างทำมา...มันก็เลยสร้างเป็นความเชื่อความเห็นที่โง่เขลาเบาปัญญา มาปิดองค์มรรค ปิดกายปิดใจ ปิดศีลสติสมาธิปัญญาที่อยู่ตรงนี้

กลับไปนับถือพระเจ้ากันไปบ้าง นับถือต้นหมากรากไม้ นับถือเทวบุตรเทวดา นับถือจักรวาล นับถือบ้าบอคอแตกกันไป  มันก็เลยหมดสิทธิ์ในการเกิดมาชาตินั้นๆ ...เห็นมั้ย กรรม 

อย่างนี้เรียกว่ากรรมนี้ปิดบังมรรคผลแลนิพพานโดยปริยายเลย ...จึงเรียกว่าเป็นการอยู่ในโลกด้วยการลบหลู่ตัวเอง คือลบหลู่พระธรรม ลบหลู่องค์มรรค ลบหลู่ความเป็นจริง ข้ามความเป็นจริง

พวกเราคนไทยนับถือพุทธ เป็นลูกหลานพุทธะ ก็เรียกว่าปุพเพกตปุญญตา ได้เกิดในที่อันควร นี่คือได้ทั้งสิทธิ์และโอกาส ...แล้วยังมาได้ยินได้ฟัง ทำความเข้าใจตามที่พอเข้าใจได้ในระดับนึง...ระดับอนุบาล...ก็ยังดี 

แต่จะไม่ดีเลยถ้าสละสิทธิ์และโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ...ปล่อยให้ชีวิตมันหมดสิ้นไปวันๆ ปล่อยให้ขันธ์ห้าเสื่อมสลายผุพังไปเปล่าๆ ไม่เห็นคุณค่าในการเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่เห็นคุณค่าในการเกิดมาแล้วได้กายเป็นมรรค

มีสมบัติอยู่กับเนื้อกับตัวที่สามารถจะเดินออกจากบ่วงทุกข์ หรือหม้อทุกข์ หรือกองทุกข์ หรือวัฏฏะที่มันขลั่กกันอยู่นี่ ...น่าเสียดาย ถึงบอกว่าน่าเสียดายที่มีสิทธิ์และโอกาสแล้ว

กับคนที่มีสิทธิ์ในการเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่มีโอกาส...ด้วยกรรมและวิบาก นั่นไม่น่าเสียดายเท่าไหร่ ...แต่น่าเสียดายสำหรับพวกที่ขนาดมาอยู่ในเมืองพุทธ มันยังเป็นพุทธแค่ตามใบเกิดก็มี

แล้วพอไปบวช ไปฟัง ไปปฏิบัติ ก็ไปทำที่มันคลาดเคลื่อนออกไปจากมรรคก็เยอะ ...เห็นมั้ยว่าได้โอกาส มันได้โอกาสแล้ว พวกเราได้โอกาสสองชั้นสามชั้นเข้าไปแล้ว

ถึงบอกว่าถ้านึกดู พิจารณาตามให้เห็นว่า...ถ้าเราพลาด หรือเราหมดโอกาส หรือเราปล่อยให้โอกาสนั้นมันผ่านไป ไม่ขวนขวาย ไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด ...มันก็เหมือนกับการเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ขาดทุน 

การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ต้องลงทุนนะ ลงทุนบุญด้วย ลงทุนด้วยการกระทำที่เป็นความพร้อมความพอดี...หลายเหตุและปัจจัย ...นี่ มันต้องลงทุน แต่ว่าเราลงทุนแล้วมันได้ผลไม่คุ้มทุน...ก็ขาดทุน 

ได้เกิดมาแล้วนี่ ก็ดันเอากายเอาใจไปใช้งานผิดประเภท ...คือถึงเอาไปทำบุญ นี่ก็เรียกว่าดีหน่อย  เอาไปเป็นประธานผ้าป่า กฐิน ประธานมูลนิธิ  ...มันก็บุญนะ บุญ 

แต่เราก็บอกว่ายังผิดประเภทอยู่ เรายังถือว่าเอากายใจไปใช้ไม่เต็มวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าเห็นดีที่สุดว่าคืออะไร แล้วท่านก็ปรารถนาจะให้ทุกคนได้เห็นเหมือนท่าน ได้เข้าอยู่ในที่ที่เป็นพุทธเกษม

นั่นเขาเรียกว่าพระกรุณาธิคุณ ...ท่านรู้อะไรท่านเห็นอะไรแล้วท่านไม่มาปิดๆ บังๆ  ไม่มาอ้ำๆ อึ้งๆ อิดๆ ออดๆ  ไม่มาเลือกที่รักมักที่ชัง ท่านก็ปรารถนาด้วยพระกรุณา

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระเมตตาธิคุณของท่าน ก็อยากจะให้ทุกคนได้สิ่งที่ดีที่สุด ...ซึ่งไม่ใช่ให้เฉพาะคนนั้นคนนี้ ก็อยากให้ทุกคนน่ะ

หมายถึงว่าที่ท่านจำเป็นต้องพูดเรื่องบุญเรื่องบาปนี่ เพราะว่านานาจิตตัง ...แต่ลึกๆ น่ะท่านอยากให้ใช้กายนี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด ใช้ขันธ์นี่ให้เป็นประโยชน์ ขั้นสูงสุดคือขั้นวิมุติหลุดพ้นไป

ที่แย่ยิ่งกว่านั้น มันเกิดมาแล้วมันดันเอากายนี่ไปทำบาป ไปเบียดเบียนกัน ...ไอ้นี่เขาเรียกว่า เกิดมามันยิ่งกว่าขาดทุน มันเสียชาติเกิด ...มันน่าเสียดายชาติเกิดของมัน

เพราะนั้นน่ะ ความเป็นกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา หลักของการปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติ ...ทุกคนเกิดมานี่เสมอกันหมด ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน ได้กายเท่ากัน มีใจเหมือนกัน มีความปกติกายเหมือนกัน 

ไม่เลือกว่าเป็นยาจก ไม่เลือกว่าเป็นพระมหากษัตริย์ ไม่เลือกว่าเป็นผู้มีฐานะหรือผู้ไม่มีฐานะในสังคม...ถือว่าสตาร์ทพร้อมกันน่ะ เริ่มพร้อมกัน ...แต่ใครจะถึงเส้นชัยก่อนนี่อีกเรื่องนึง 

เพราะอะไร ...มันไม่เดินน่ะ... ทางมีไม่เดิน มันชอบไปเดินไอ้ที่ไม่เป็นทางน่ะ เนี่ย มันก็หมดเวลาไปซะก่อน ...เอ้า กำลังจะหาทาง กำลังจะเห็นทาง จะขึ้นบนทาง ดั๊น...ตายซะก่อน อย่างเงี้ย

แต่ถ้ามันขยันเดินซะตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ขี้เกียจ ไม่ท้อถอย ไม่ไปเห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นดีเห็นงามด้วยกับมัน แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปซะตั้งแต่ที่รู้เดียงสาขึ้นมา

คือพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเจ็ดขวบไปแล้วกว่ามันจะรู้เดียงสา  ต่ำกว่าเจ็ดขวบแล้ว หมายความว่าอริยมรรคอริยผลบังเกิดขึ้นยาก ...คือพอรู้เดียงสามันมีสติสัมปชัญญะขึ้นมาในปัจจุบันได้ชัดเจนแล้ว

เพราะนั้นท่านถึงบอกว่าเจ็ดขวบแล้วนี่...ถ้าเดินได้..เดิน ...ถ้ามันตั้งอกตั้งใจเดินจริงๆ นี่ ไม่พ้นชาตินี้หรอก อันนี้พระพุทธเจ้าท่านพูดไว้ชัดเจน 

ถ้าสัตว์บุคคลใดเจริญสติปัฏฐาน ระลึกดำรงสติตั้งมั่นอยู่ในกายเวทนาจิตธรรมในปัจจุบันนี่...อย่างมากไม่เกินเจ็ดปี อย่างกลางประมาณเจ็ดเดือน อย่างเร็ว...คือประเภทไม่ทำอะไรเลย กูเดินอย่างเดียวนี่...เจ็ดวัน

ก็เข้าไปที่เดียวกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย...คือไอ้ที่ที่ไม่มีที่อยู่ มันเป็นที่นั้นน่ะ ...ไม่ใช่ที่ที่เอาข้าวเอาน้ำไปถวายพระพุทธเจ้าข้างบนอะไรนั้น...ไม่มีนะ เพราะว่าที่นี้ไม่มีที่ให้อยู่ 

ตรงนั้นน่ะเป็นที่ของพระอริยะกับพระพุทธเจ้ามากมายมหาศาล ...เป็นอนันตมหาสุญญตา

เพราะนั้นน่ะ ที่อธิบายทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจว่า การปฏิบัติไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ที่ว่าวาสนาน้อย บารมีน้อย อายุไม่ให้ ฐานะไม่ให้ สถานะยังไม่สมควรอะไร

ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มันสมควรแล้ว ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่มาอบรมเทศนา ...และแม้แต่กระทั่งพระพุทธเจ้านี่ ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนนะไม่เกิดมาเป็นมนุษย์

พระพุทธเจ้านี่มากมายเหมือนเม็ดทรายในมหาสมุทร ในสากลจักรวาลหรืออนันตาจักรวาล ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนที่ไม่เกิดมาเป็นมนุษย์

ทำไมล่ะ ทำไมไม่ไปเกิดที่มันดีกว่านี้จะไม่ดีรึไง ...ก็เพราะที่นี้เหมาะ เพราะที่นี้ควร เพราะสัตว์มนุษย์นี่เหมาะ สัตว์มนุษย์นี่ควร...ที่จะปฏิบัติแล้วเห็นผล...เจ็ดวัน เจ็ดเดือน เจ็ดปี

มีแต่พวกมนุษย์นั่นแหละที่มันบอกว่ายังไม่ถึงเวลาปฏิบัติ ...นี่ ไม่รู้จะเกิดมาทำไม ใช่มั้ย  น่าจะเอาคิวนั้นน่ะยกคิวให้คนอื่นเขาดีกว่ามั้ง ยกคิวการเกิดในชาตินั้นน่ะ ให้พวกที่รอคิวอยู่นี่บานเลย

ถ้ามาเก้ๆ กังๆ อยู่อย่างนี้ ....มันน่าจะให้คิวกับคนอื่นเขามั้ย ที่เขาตั้งอกตั้งใจมาเกิดเพื่อจะมาบรรลุมรรคผลนิพพานในโลกมนุษย์นี่

แล้วบางคนก็อ้างว่ามรรคผลนิพพานเป็นเรื่องยาก เป็นของสูง แตะต้องไม่ได้ ของต้องห้าม ...ก็ถ้าไม่พูดเรื่องมรรคผลนิพพานแล้วมันจะไปนิพพานได้ยังไง หือ

ถ้าไม่มาพูดเรื่องมรรคผลนิพพานอยู่ซ้ำซากๆ แล้ว มันจะเกิดภาวะจดจ่ออยู่กับมรรคผลนิพพานได้ยังไง

ถ้าพูดเรื่องเพลงเพราะ อาหารดี บรรยากาศเลิศ มันก็ไปกันคนละเรื่องสิ ...เพราะคนในโลกเขาก็จะพูดเรื่องดนตรีไพเราะ ที่ไหนอากาศดี อาหารดี สถานที่วิวดี

ตรงไหนมีความสุข มันก็จะไปจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นๆ ...งานดีเงินดี ตรงไหนทำเลดี อยู่แล้วเฮง อยู่แล้วทำมาค้าขึ้น วิชาการอย่างใดทำแล้วรวย ทำแล้วมีเกียรติมีชื่อเสียง ...มันก็จะไปจดจ่อเรื่องนั้น

นี่ ก็เลยต้องพูดแต่มรรคผลนิพพาน มรรคสี่ ผลสี่ นิพพานหนึ่ง บุคคลสี่ ...ก็พูดอยู่แค่นี้...เพื่อให้เกิดการจดจ่ออยู่ในองค์มรรค เพื่อให้ชัดเจนในองค์มรรค

เพื่อไม่ให้มันหลบลี้หนีออกจากมรรค เพื่อไม่ให้มันตกร่องตกรูตกรอย ตกครรลองของมรรค ...มันก็ต้องพูดซ้ำพูดซากกันอยู่อย่างนี้ เพื่อให้มันทัดทานกับกิเลสของตัว ของสัตว์บุคคล

เพราะกิเลสมันหนาแน่น ปิดบัง ครอบงำ จับจองครอบครองใจ ...มีแต่ความเห็น มีแต่ความคิดปิดบัง มีแต่ความเผลอความเพลินปิดบัง มีแต่ความอยาก-ความไม่อยากปิดบัง

มีแต่อารมณ์โลภโกรธหลงปิดบัง มีแต่อดีต-มีแต่อนาคตปิดบัง มีแต่เรื่องราวของสัตว์บุคคลทั้งที่เกิดแล้ว-ทั้งที่ยังไม่เกิดปิดบัง  มีแต่เรื่องราวของเราทั้งที่เกิดแล้ว-ทั้งที่ยังไม่เกิด...ปิดบังดวงใจดวงนี้

แล้วก็อยู่ในสภาพที่ติดคุกมืดบอด ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่ได้โผล่ออกมาได้รับอิสรภาพอะไรเลยน่ะ มันบังซะมิดชิดเลย 

เมื่อมันบังใจ..มันก็บังองค์มรรค  เมื่อมันบังมรรค...มันก็บังกาย  เมื่อมันบังกาย..บังใจ..บังมรรค มันจะไปไหนได้ล่ะ ก็ไปในสามโลกธาตุนี้

สวรรค์ภูมิ มนุษย์ภูมิ เปรตภูมิ อสุรกายภูมิ นรกภูมิ พรหม อรูปพรหม ...มันวนอยู่อย่างนี้ ...นี่คือที่เราบอกว่ามันตกคลั่กกันอยู่นี่ สรรพสัตว์ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ...ก็มาเกิด-ตายกัน 

แล้วการเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนานี่น่ะ เปรียบว่า...เหมือนเต่าลอยคออยู่ในมหาสมุทร แล้วโผล่มาได้เจอผักบุ้งอยู่ตรงหน้าตรงปากมันพอดีเลยน่ะ

อย่างนี้มันง่ายหรือมันยากล่ะ ...ไปนึกดูว่ามีเต่ากี่พันล้านตัวล่ะ ในท่ามกลางมหาสมุทร แล้วโผล่ขึ้นมาขณะนั้น แล้วได้กินผักบุ้งตรงนั้นพอดี ...เนี่ย มันพอดีกัน

แปลว่าอะไรพอดีน่ะ ...แปลว่าสมควรแก่ธรรมแล้ว วาสนาส่ง บารมีหนุน สิบทัศ สามสิบประการ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง มันสงเคราะห์เต็มหมดแล้ว

ไม่เต็มอยู่ตัวเดียว คือตัวจิตคิด...ว่าไม่จริง ไม่ถึง ไม่ได้ ไม่ใช่เวลา ไม่ใช่เรื่องของเรา ยังไม่ใช่ ...ไอ้นั่นน่ะไม่เต็มอยู่ตัวเดียว ...ก็ต้องเอาไอ้ที่ไม่เต็มตัวนั้นน่ะออกไป 

นี่ ทุกอย่างพอดี ..ธรรมก็พอดีตรงนั้น กายใจก็พอดีกันตรงนั้น ตอนนั้น ไม่ขาดไม่เกินกัน

เหมือนอย่างคนฟังก็มาเป็นระยะๆ เหมือนการเกิดการตาย...ไม่ขาดระยะ ...แต่ไอ้ที่จะขาดระยะคือ ไอ้คนพูดนี่จะขาดระยะ ...แล้วการขาดระยะของคนพูดนี่ จะห่างออกไปเรื่อยๆ

แต่ไอ้คนที่ไป คนที่มานี่ ไม่ขาดระยะ เพราะมันเป็นวิสัยของมนุษย์ปุถุชน ...การเกิดการตายมันเหมือนกับเป็นการจับจ่ายใช้สอยในตลาด เหมือนไปเดินช้อปปิ้งอย่างงั้นน่ะ

ไม่เลิกหรอกการเกิดการตายนี่  ตราบใดที่มีโลก...ตราบนั้นก็ยังมีมนุษย์เป็นของคู่กัน ...แต่ไอ้คนพูดนี่ขาดระยะ ไอ้คนสอนนี่ขาดระยะ ...แล้วก็การทิ้งระยะทีนึงนี่ ฮื่อ

เคยได้ยินไหมว่า เขาพระสุเมรุลูกนึง กว้างพันโยชน์ สูงพันโยชน์ หนาพันโยชน์นี่ ร้อยปีมีเทวดาเอาผ้าขาวมาลูบรอบหนึ่งครั้ง จนเขาพระสุเมรุนี่เรียบเท่าแผ่นดิน ...นี่เวลาที่กว่าจะมีพุทธศาสนาขึ้นมา

อย่าปล่อยให้โอกาสและเวลาล่วงไป ...พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้เองว่า วันเวลาล่วงเลยไป ทำอะไรอยู่ ...เรียน เล่น หลง เพลิน ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...ไปดูเอา เวลาที่ผ่านไป มันผ่านไปกับอะไร

ให้มันพยายามมารู้ว่า...ไอ้เวลาที่มันผ่านไป เออ มันผ่านไปกับการรู้กายรู้ใจ ...ให้มันผ่านไปกับสิ่งนั้นแหละ ถึงจะเรียกว่าสมราคาค่างวดที่เกิดมานี่  จะได้สมราคากับที่จ่ายค่างวดไว้ ไม่ติดหนี้ ใช้หนี้ไป

เพราะนั้นการรู้กายรู้ใจนี่ จึงจะเรียกว่าสมราคาค่างวด ในการที่เวลามันหมดไปทุกวินาที หรือว่าพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าทุกขณะ ...เวลาตายมันจะได้ตายแบบอาจหาญ

ไม่ตายงอก่องอขิง ตายเรี่ยตายราด ตายโวยวาย ตายทุรนทุรายเหมือนหมาถูกน้ำร้อน  ตายแบบกูยังไม่อยากตาย ตายแบบกูไม่สมควรตาย ตายแบบให้คนอื่นตายก่อนกูได้มั้ย

เนี่ย การตายนี่ตายได้หลายรูปแบบนะ ..แต่ส่วนมากทุกคนบอกว่า กูไม่น่าตายเลย มึงน่าจะตายก่อนกู มันจะนึกกันอย่างงั้น

ภาวนานี่ มันจะได้อาจหาญต่อความตาย ว่าเวลาที่หมดไปผ่านไปนี่ ไม่ได้เปล่าประโยชน์เลย ...เห็นมั้ย ตัวนี้ มันจะข้ามบุญข้ามบาป  มันก็...เออ วางใจได้ในระดับหนึ่ง

ถึงเกิดมาใหม่ ถึงยังไม่จบ ถึงยังไม่หมดสิ้นแห่งการเกิด ก็วางใจได้ในระดับหนึ่ง ก็ยินยอมพร้อมตาย ไม่เกรงกลัวต่อความตาย ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อความตาย

เพราะรู้ว่าถึงเกิดมาใหม่ ...จะรีบๆ เกิดเลย มาทำต่อ ใช้ค่างวดซะให้หมด ไม่ติดหนี้ติดสินกับทางโลก กับสัตว์บุคคลอีก

แล้วไม่ต้องกลัวหรอก...เกิดมาก็คงได้มารู้โง่ๆ ต่อ โง่อยู่กับกายใจ ที่มันไม่รู้อะไรเลย ที่มันไม่มีความหมายใดๆ เลย ...นี่เรียกว่าโง่เต็มขั้น...คือหลุดพ้นสุดๆ เลย

นี่จึงจะหลุดพ้นออกจากความเห็นทั้งหลายทั้งปวง จึงจะหลุดพ้นออกจากสมมุติและบัญญัติทั้งหลายทั้งปวง...ด้วยรู้อันเดียวกับกายอันเดียวนี่แหละ ไม่เรียกว่าโง่ ก็โคตรโง่แล้ว

เพราะตัวกายก็ตัวกายโง่ๆ ...มันโง่มาก เพราะมันไม่รู้อะไรเลย มันไม่มีความรู้อะไรในตัวมันเลย มันไม่มีความหมายอะไรในตัวของมันเลย  มันไม่มีความเจตนาจงใจ ความอยากหรือความไม่อยาก ในตัวของมันเลย 

ใครลากมันไปไหน..มันก็ไป ลากมันไปยืนกลางแดด..มันก็ยืน  เอามันไปอาบน้ำ..มันก็อาบ ไม่โง่หรือนั่นน่ะ  เขาพามันไปไหน...ไปหมด  พาขึ้นรถลงเรือ..ไม่โต้ไม่เถียง ...มันโง่มั้ยเนี่ย 

กายมันโง่นี่ ถึงบอกว่ารู้กายโง่ๆ ด้วยใจที่รู้โง่ๆ ...นี่ ใจก็รู้ อะไรเกิดขึ้นก็รู้ อะไรไม่เกิดก็รู้ อะไรไม่ดับก็รู้ อะไรมากขึ้นก็รู้ อะไรน้อยลงก็รู้...ไม่ว่าอะไร

มันอยากจะว่าอะไรก็รู้ มันมีความอยากเกิดขึ้นก็รู้ โกรธก็รู้ ไม่โกรธก็รู้ ...นั่น รู้ก็รู้โง่ๆ นะ  อะไรเกิดขึ้นมันไม่สนใจ มันรู้อย่างเดียว ...ถึงบอกไง รู้โง่ๆ กับกายโง่ๆ พอแล้ว

เกิดมาหลายภพหลายชาติของผู้ปฏิบัติ นักปฏิบัติ  เพื่อให้กลับมาสู่รู้โง่ๆ กับกายโง่ๆ...สองอย่าง ...สำรอกออกหมดน่ะ ลอกคราบเหมือนงูลอกคราบ

ลอกออกหมดน่ะ ...ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความจริงในสมมุติ ความจริงในบัญญัติ ความจริงในอดีต-อนาคต ความมีอยู่จริงในสิ่งที่จิตมันว่า จิตมันบอก  หรือคนอื่นเขาว่า คนอื่นเขาบอก

มันสำรอกออกหมด ไม่เอาแล้ว  มันเหลือแต่ความจริงโง่ๆ สองอย่างนี่...กาย-ใจ 

เมื่อใดที่อยู่กับสองอย่างด้วยความโง่ ไม่ขวนขวายออกไปข้างหน้าข้างหลัง ข้างบนข้างล่าง ไกลหรือใกล้ ...รวมลงเป็นหนึ่งอยู่แค่นั้นน่ะ

นั่นแหละจะเข้าถึงที่สุดของความโง่...ก็คือความดับโดยสิ้นเชิง


(ต่อแทร็ก 8/23)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น