วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

แทร็ก 8/35 (1)


พระอาจารย์
8/35 (add550520C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
20 พฤษภาคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เราเคยเล่าให้พวกโยมฟังแล้ว มีพระที่เคยมาอยู่กับหลวงปู่ อายุประมาณสักหกสิบกว่าแล้ว อายุแก่กว่าเราแต่แกบวชหลังเรา มีวันดีคืนดีก็นึกถึง โทรศัพท์มา ตัวท่านไม่ได้โทรหรอก เป็นพระโทรมา

ถามว่าอยู่ไหน...อยู่โรงพยาบาล เป็นอะไร...เป็นมะเร็งสมอง เส้นเลือดตีบ ข้างล่างนี่ต้องผ่าเอาพลาสติกแทนเส้นเลือดใหญ่ พูดก็ไม่ค่อยได้ พูดแล้วมันอาเจียนอยู่ตลอดเป็นเลือด

คือมันขั้นโคม่าแล้ว มันถึงนึกถึงเรา ให้โทรมา โทรมาก็สุดท้ายก็ต้องแสดงธรรมออนไลน์ผ่านโทรศัพท์ ให้เปิดไมค์เพราะมันคุยไม่ได้ ถ้าได้ยินถ้าเข้าใจให้พยักหน้า บอกมัน

ก็เทศน์เรื่องนี้ ...คือกำลังจะตายแล้ว พุทโธก็ช่วยไม่ได้ อสุภะอสุภังก็ช่วยไม่ไหวแล้ว จะเอาความสงบที่ไหนมา...ไม่มีๆ ปัญญาพิจารณาเข้าไปเถอะ หงุดหงิด ...เป็นไปไม่ได้

มีแต่ไม่ยอมตาย ไม่เอาตาย ไม่อยากตายกัน นั่นน่ะของแน่เลย มันมึนน่ะจิตตอนนั้น ...จนต้องบอกว่า รู้มั้ยว่านอนอยู่ รู้มั้ยว่าเจ็บ รู้มั้ยว่าอยากตาย อยากตายนะ ไม่อยากอยู่ไง มันทรมาน

แล้วรู้มั้ยว่าไม่อยากตาย เดี๋ยวมันก็สลับกันนะ เดี๋ยวก็อยากตาย เดี๋ยวก็ไม่อยากตาย ...เราบอกว่า ทุกอย่างที่ปรากฏน่ะถามว่ารู้มั้ย แล้วให้รู้ว่าอยากตาย แล้วให้รู้ว่าไม่อยากตาย

แล้วให้รู้ว่านอน แล้วให้รู้ว่าเจ็บ แล้วให้รู้อยู่ว่าทรมาน แล้วให้รู้อยู่ว่ารู้อะไร...เอาตรงนี้เป็นหลัก ไม่เสียชื่อครูบาอาจารย์ หลวงปู่ท่านก็สอนว่าดวงจิตผู้รู้

คือพอหลวงปู่ตายน่ะ พระนี่ท่านก็ไปหาครูบาอาจารย์สายกรรมฐานเยอะแยะมากมายก่ายกอง ...พอถึงวาระคับขันน่ะเอาไม่อยู่ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง มาเจอกับเวทนาขั้นตายนี่

นั่น ฟังเราจบน้ำตาไหล พยักหน้าน้ำตาไหล ตัวสั่นงันงกหมด  ตั้งแต่นั้นก็เทศน์จนตาย ตายคาเตียงไปเลย มันฟังเสียงเรา อยากฟังรึไม่อยากไม่รู้ เอามันจนตายไปเลย คาเตียง ...ตายแล้ว ตายแล้วยังมาหาอีก

เห็นมั้ย การภาวนา ...ขนาดว่าเป็นพระแท้ๆ นะ เป็นพระนักภาวนาด้วยซ้ำ ...พอถึงวาระนี่ ถ้าไม่เคยฝึกหรือตรงต่อทางจริงๆ แล้วนี่...เอาไม่อยู่นะ

แล้วอย่านึกว่าเป็นแต่ท่าน พวกเราไม่เป็นนะ...ไม่แน่ ใครจะไปรู้ๆ ใครจะตายยังไง ไม่มีใครรู้ หมอดูก็รู้ไม่จริง ...แต่รู้ว่าตายแน่ๆ นี่ของจริง แต่จะตายยังไงไม่รู้

จะตายช้าตายเร็ว ตายสบาย ตายไม่สบาย แต่ยังไงก็ตายแน่ๆ และก่อนตายยังไงก็ต้องมีเวทนา...แน่ๆ แล้วมันไม่ได้ดั่งใจเราหรอก หมอก็ช่วยไม่ได้ หมอยังตายเลย ใช่มั้ย

แล้วจะเอาใจไปไว้ไหน ....ก็บอกว่าไม่ต้องไปไว้ไหน ก็ไว้ที่รู้นั่นแหละ ไม่ต้องไปหาที่ไหน เพราะไอ้หาน่ะมันจึงทุกข์ ...ก็ใครล่ะรู้ว่าหา อันนี้ต้องเข้าขั้นดวงจิตผู้รู้อยู่ที่สุดแล้ว

คือมานั่งดูกายไม่ไหวแล้ว ไปแน่ๆ ไม่ทัน ...เอารู้เลย อยากตาย..รู้ ใครรู้ว่าอยาก ใครรู้ว่าไม่อยากตาย ใครรู้ว่าทรมาน ใครรู้ว่าเจ็บ ใครเจ็บ รู้มันลงไป ดูมันลงไป ย้อนกลับมาที่รู้ นั่นน่ะธรรมะของคนใกล้ตาย

แต่อาศัยว่าเป็นพระไง เคยได้ฟังครูบาอาจารย์มา แล้วมันเข้าไปหวน ระลึกขึ้นมาถึงวิถีได้..พอสมควร ถ้าเป็นอย่างพวกเราๆ ถ้าไม่เคยฝึก ไม่เคยฟังกันมาก่อน ...จะรู้พ่อรู้แม่อะไร

อะไรรู้ อะไรไม่รู้วะ ไม่สนใจ มันแยกไม่ออกแล้ว เข้าใจมั้ย มันจะแยกไม่ออกเลย อะไรเป็นรู้ อะไรเป็นสิ่งที่ถูกรู้ อะไรเป็นใจ อะไรเป็นจิต อะไรเป็นกาย อะไรเป็นใจ ยังแยกไม่ออกเลย

แต่ถ้าเราฝึกซะตั้งแต่อนุบาลนี่ เราเริ่มต้นจากอนุบาล ก.ไก่ ข.ไข่ ข.ขวด ค.ควาย ค.คน ฆ.ระฆัง ง.งู จ.จาน ...เราสอนแค่ จ.จาน เราสอน ก.ไก่ถึงแค่ จ.จาน...ไม่เกินนี้ คือ กายกับใจ

ถึงแค่นี้พอแล้ว ...เกิน จ.จาน แล้วงงว่ะ  เยอะเกิน ...ไอ้แค่ ก.ไก่ ข.ไข่ ข.ขวด ค.ควาย ค.คน ฆ.ระฆัง ง.งู ยังตั้งหลายตัวแล้วข้างในนี้ ใช่มั้ย

ถ้าอยู่กาย-ใจนี่ ไอ้ ข.ไข่ ข.ขวด ค.ควาย ค.คน ฆ.ระฆัง ง.งู ...ไอ้นี่คือจิตปรุงแต่งที่จะต้องเรียนรู้มัน เท่าทันมัน ...แต่อย่าออกนอก ก-จ กายใจ นั่นเกิน...รู้เกิน

ไอ้นอกนั้นเกินนะ จ.จาน ฉ.ฉิ่ง ช.ช้าง ซ.โซ่ ไปถึง ฮ.นกฮูก ...มากเรื่อง เรื่องมาก รู้มาก..มากเรื่อง รู้มากทุกข์มาก รู้มากสงสัยมาก รู้มากปัญหามาก รู้มากเงื่อนไขมาก รู้มากงงตัวเอง

แค่ ก.ไก่ถึง จ.จานนี่ กูก็จะตายอยู่แล้ว เรียนรู้แค่ ข.ไข่ ข.ขวด ค.ควาย ค.คน ฆ.ระฆัง ง.งู ก็จะตายอยู่แล้ว แค่ความคิดความเห็นของเจ้าของ ที่จะเรียนรู้เท่าทันแล้วก็ละมันนี่ ก็จะตายชักอยู่แล้ว 

แล้วยังจะไปเสาะหาความรู้อะไร ไอ้นั่นก็อยากรู้ ไอ้นี่ก็ต้องได้ ไอ้นู่นก็เคยได้ยินเขาเล่ามา เขาบอกว่า ไอ้นั่นเคยอ่านมาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าท่านทำแล้วท่านเห็นอย่างนี้ก่อน แล้วท่านจะได้อย่างนั้น 

ก็มาว่าแล้วเรายังไม่ได้อะไรเลย ต้องทำให้ได้อย่างนั้น ...เอาสักกี่ชาติดี หือ ถึงจะได้  เอาสักกี่ชาติดีกว่าจะเห็นอสุภะหรือเห็นเป็นกระดูก เอาสักกี่ชาติดีกว่าจิตมันจะสงบรวมถึงอัปปนาเสียก่อนค่อยมีกำลัง

ก็ถ้าเกิดชาตินี้ไม่ได้อัปปนา แล้วมันจะทำยังไงล่ะ หือ ถ้าเกิดชาตินี้มันไม่รวมสงบเลยสักครั้ง จะทำยังไง คงไม่ได้มรรคผลนิพพานสิ ...ไม่ใช่นะ ไม่ขึ้นกับอะไรน่ะ นิพพานเป็นของกลางนะ

ธรรมเป็นของกลางนะ ไม่ได้ขึ้นกับอะไรนะ ขึ้นอยู่กับว่า ปฏิบัติตรงมั้ย รู้ตรงมั้ย มีสัมมาทิฏฐิความเห็นตรงมั้ย ไม่ใช่บิดๆ เบี้ยวๆ คดๆ งอๆ ทำไปตามอำเภอใจ ออกนอกกรอบ ออกนอกเฟรม

สมมุติว่ากายนี้มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบนี่ คือเฟรมรูปภาพ ให้ขอบขันธสีมาของกายนี่คือหนัง...เป็นเหมือนเฟรมรูปภาพ อย่าออกนอกเฟรมนี้ อย่าให้มันล้นออกนอกเฟรมนี้

แล้วค่อยจำเพาะเจาะจงลงในเฟรมนี้ แต่ละขณะ สังเกตดูมัน ศึกษามัน สำเหนียกเท่านั้น ...บอกแล้วว่าแค่ในเฟรมนี้ เฟรมของกายคือขันธ์ห้านี่...ชาติหนึ่งนี่ บางทียังน้อยไปเลยที่จะเรียนรู้กับมัน

ไอ้นี่เรื่องคนนั้นก็อยากรู้ อากัปกริยาของสัตว์บุคคลนั้นก็อยากรู้ มันเรื่องอะไร มันเพราะอะไร มันถูกหรือมันผิด ...ไอ้เรื่องที่ควรรู้ ต้องรู้ ในเฟรมนี้คืออะไรยังไม่รู้เลยนะ แต่แสนรู้จังเรื่องคนอื่น

มันกินมันนอนที่ไหน พ่อแม่มันชื่ออะไร มันไปทำความชั่วหรือความดีที่ไหนมา มันไปเที่ยวที่ไหน มันไปนอนค้างกับใครมา...อยากจะรู้ เสือกรู้

แต่กูนั่งยังไม่รู้เลยว่านั่ง เดินก็ยังไม่รู้ว่าเดิน อะไรเดินก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเดิน อะไรนั่งยังไม่รู้ว่าอะไรนั่ง ...ไอ้นี่ที่ควรรู้กลับไม่รู้ แต่เรื่องคนอื่น เรื่องอย่างอื่นที่ยังไม่เกิด หรือเรื่องคนไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ดันรู้ไปทั่ว

ไม่มีประโยชน์ไงเราถึงบอก ในกรอบแค่ ก.ไก่ ถึง จ.จาน ในกายใจนี่ ชาตินี้ ยังไม่รู้หมดรึเปล่าที่เราจะเรียนรู้กับมัน สำเหนียกแล้วก็แยบคายจนเห็นโดยตลอด

ถึงบอกว่าเวลาที่ผ่านไปนี่ มันหมดไป ไม่ใช่หมดไปแบบหมดไปเปล่าๆ นะ มันเอาชีวิตเราหมดไปด้วย ...แล้วชีวิตที่มันหมดไปด้วย มันหมดไปกับอะไร

หมดกับการจงใจใส่ใจกับผู้อื่น หมดกับการจงใจใส่ใจกับวัตถุข้าวของ หมดกับการจงใจใส่ใจกับคนรอบข้างหรือเปล่าหรือว่าหมดไปกับการที่ว่าเรียนรู้สำเหนียกลงในขันธ์ห้า

แบ่งๆ กันหน่อย อย่าไปทุ่มเท ให้เอาอันนี้ไว้มั่ง กายใจไว้มั่ง อย่างน้อยเอาไว้หน่อย แล้วจากหน่อยมันก็ค่อยมากขึ้น พอมากขึ้นแล้วเต็มส่วนเต็มร้อย หันมาเต็มร้อยขึ้น

คราวนี้ว่ามันอยู่ที่การบ่มเพาะไป บ่มเพาะอินทรีย์ ...จะมาเอาทีเดียวแบบ แหม ฟังอาจารย์แล้วศรัทธาเกิด เดี๋ยวกูไปทำเอาร้อยเปอร์เซ็นต์เลย...ไม่มีทาง (หัวเราะกัน)

เป็นไปไม่ได้ ...มันได้แค่มีศรัทธา ความอยากแรงกล้า ขาแข็ง แต่ใจยังอ่อนอยู่นะ ได้สักพักหนึ่งเดี๋ยวก็เสร็จมะก่องด๊องแล้ว ไปไม่รอดหรอก ...ค่อยๆ ทำไป

แต่ว่าเราขอหน่อยว่า ขอหน่อย แบ่งกัน แบ่งมาอยู่ที่กายใจซะหน่อย  อย่าไปทุ่มเทกับสิ่งที่มันมีคุณค่าประเดี๋ยวประด๋าว เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ดับไป

มันไม่มีอะไรหรอก มันไม่มีประโยชน์โพดผลจนถึงว่าเป็นเหตุปัจจัยสงเคราะห์ให้เข้าสู่มรรคผลนิพพานโดยตรง แต่ถ้าอยู่ในส่วนนี้ ศึกษาสำเหนียกในส่วนนี้ 

ในกายใจ ในขันธ์ห้าที่ปรากฏ โดยเฉพาะกายเป็นหลักนี่ มีคุณค่ามหาศาล มีคุณค่ามีอานิสงส์ถึงขั้นที่เรียกว่า ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาด ...ท่านเรียกว่าเป็นอริยทรัพย์

นี่ เหมือนได้อริยทรัพย์ สะสมอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่กินไม่หมด ...บุญ-บาปนี่ยังหมดนะ ใช้แล้วถ้าไม่ทำต่อมีแต่บุญเก่าคอยสนับสนุน แต่ไม่ทำบุญใหม่ต่อนะ บุญเก่าหมด

แต่อริยทรัพย์ในส่วนที่เรียนรู้กายใจ ในส่วนที่สำเหนียกลงในขันธ์ห้า ในความเป็นจริงของขันธ์ห้า ...อันนี้ ผลคือปัญญาที่เกิดมันจะแนบแน่นอยู่ภายในจนถึงนิพพาน ไม่หายไปไหนเลย เป็นพลวปัจจัย 

แม้แต่เรารู้ตรงนี้ ยังไม่เห็นเลยมันมีผล อานิสงส์ตรงไหน ...แต่มันมี มันมีอยู่แล้วๆ แต่ว่ายังไม่ถึงเวลา ยังไม่เต็ม

เราเคยบอกแล้วทุกคนว่า เหมือนร่างกาย กายใจ ขันธ์ห้าของเรานี่ เหมือนกับโอ่งหรือบ่อน้ำครำที่มืดมิด ลุ่มหลงมัวเมาปกคลุมจนมืดมิด ไม่เห็นขันธ์ตามความเป็นจริง ...มันดำมืดไปหมด 

การที่กลับมารู้กายใจในขณะปัจจุบันหนึ่งๆ เหมือนเอาน้ำใสหยดลงทีละหยดๆ ทีละหยดขณะหนึ่งก็หยดหนึ่ง ศีลสมาธิปัญญาเกิดก็หนึ่งหยด

ถามว่าถ้าหยดสิบหยด...ใสไหม ไม่ใสหรอก ดูไม่ออกเลยว่ามันใสขึ้น ก็ไม่เอาแล้ว ปล่อยตามสบาย เอ้า ตักน้ำขุ่นมาเติมอีก ...ไอ้อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่มีวันใสแน่ๆ ชัวร์ป้าด ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

แต่ถ้า...เอาวะ เกรงใจอาจารย์ ทำซะหน่อย หยดไปๆๆๆ ไม่ต้องคิดมาก ...บอกแล้วถ้าคิดมากมันไม่ทำหรอก  อย่าคิด หยดไป รู้ไปๆๆ รู้ไปดูไปๆ ได้อะไรก็ช่าง ไม่ได้อะไรก็ช่าง 

ทำไป ทำงานของเราไป ก้มหน้าก้มตาทำงานไป เขียนรายงานไป เขาจะปรับวุฒิไม่ปรับวุฒิก็ทำไป ลงข้อมูลไป หยดไปเรื่อยๆ รู้ไปดูไปเรื่อยๆ

ไม่ต้องหาเหตุไม่ต้องหาผล ไม่ต้องคาดไม่ต้องหวัง ไม่ต้องเอามรรคเอาผลตอนนั้นหรอก ...นานๆ ทีค่อยกลับมาทบทวนโดยรวมที...เออ เฮ้ย มันจางลงว่ะ

เพราะระหว่างที่ทำโดยไม่ได้ใส่ใจผลนั่นน่ะมันล่อไปซะล้านหยดแล้วอ่ะ พอหันมาดูโดยรวมอีกที...เอ้า มันเรื่อๆ ขึ้น  เนี่ย เห็นผลแล้ว เริ่มเห็นผลเป็นกอบเป็นกำแล้ว

คราวนี้ว่าพอมันเห็นผลอย่างนี้แล้วเป็นยังไง ...มันมีกำลังใจ มันเริ่มมีกำลังใจแล้ว ไม่ต้องมาให้เราเคี่ยวเข็ญแล้ว ไม่ต้องให้ครูบาอาจารย์คอยเคี่ยวเข็ญ

หรือต้องมาอาศัย accessory ภายนอกมาคอยดันคอยถีบให้ว่า...เฮ้ย ทำนะๆ ...นี่ ขยันเอง ความเพียรเกิดเลย มันเริ่มมีด้วยตัวของมันเลย เริ่มเห็นผลด้วยตัวเอง

มันก็ใสขึ้นไปเรื่อยๆ กายก็ใสใจก็ใส ...เข้าใจคำว่ากายใสมั้ย คือกายมันบริสุทธิ์อยู่แล้ว กายมันสะอาดบริสุทธิ์เป็นกลางอยู่แล้วโดยธรรมชาติ โดยปกติธรรมดา

แต่ที่มันไม่สะอาดไม่ใสไม่บริสุทธิ์  เพราะความเห็น ความคิด ความเชื่อ มาครอบงำและปิดบัง ...เมื่อใดที่เรารู้และหยั่งลงไป เหมือนกับแหวก เคยเห็นจอกแหนที่ปกคลุมบึงน้ำมั้ย

หยั่งลงไปแต่ละครั้งนี่ มันแหวก มันแหวกจอกแหนเห็นน้ำใส แล้วก็กลับคลุมเข้ามาอีกแล้ว ...เอ้า นี่ ของมันใสอยู่แล้ว ของมันบริสุทธิ์อยู่แล้ว ของมันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ธรรมชาติอยู่แล้ว

แหวกออกๆๆ กายก็บริสุทธิ์ ...ไอ้สิ่งที่ปกคลุมห่อหุ้มมันนี่ มันก็ออกไป กระจัดกระจายออกไป จับกันไม่ติด ไม่มีแรงมวลดึงดูดให้มารวมตัวกันก่อให้เกิดการห่อหุ้มกายอันนี้ได้


(ต่อแทร็ก 8/35  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น