วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560

แทร็ก 8/36 (1)



พระอาจารย์
8/36 (add550617)
17 มิถุนายน 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  กลับคืนสู่ความเป็นปกติธรรมดา ไม่ไปหาอะไรที่มันเกินปกติธรรมดา อย่าไปหาอะไรที่ยังไม่เกิด อย่าไปหาอะไรที่มันดับไปแล้ว ...เหลือแค่รู้เท่านั้น ... ง่าย...แต่ทำยาก

โยม –  พอสงสัยก็รู้ว่าสงสัยก็จบ


พระอาจารย์ –  จบ ...แล้วก็กลับมาอยู่กับกายเปล่าๆ กับรู้เปล่าๆ แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรนอกเหนือนี้หรอก นอกเหนือนี้...เกิน

เคยเห็นพลุมั้ย มันอยู่ในอากาศ แต่ถ้ามันไม่เป็นพลุ พวกเราไม่นึกถึงพลุ เพราะอะไร ...สะเก็ดมันตกไกล ไหม้หญ้าฟาง เพราะมันยังมีพื้น เพราะมันยังมีหญ้าแห้ง

แต่เมื่อใดที่มันเหลือแต่กายใจเปล่าๆ มันไม่ได้มีพื้น ไม่ได้มีอะไรรองรับ ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่หมาย ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่มีตัวตนอะไรตั้งอยู่

มันจะไปลามยังไง มันก็ดับไปในอากาศ เหมือนพลุ ...นั่นแหละจิตพระอรหันต์ ก็เป็นพลุในอากาศ 

เพราะนั้นเราห้ามสะเก็ดไฟไม่ได้ ห้ามสะเก็ดพลุไม่ได้ ...เราไม่ได้ควบคุม แต่ทำยังไงล่ะจึงจะไม่ลาม

เมื่อใดที่เราเห็นว่า ไอ้นี่ยังมีๆๆ มันก็เป็นภพ...เมื่อมันเป็นภพ มันก็จะไปตั้งจุดกำเนิดอยู่ที่นั้น ...แต่เมื่อใดไม่มีอะไรตั้งอยู่ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง มันมีแต่ความว่าง

ตัวตนจริงๆ มีแต่อนัตตา คือไม่มีตัวตน มันจะไปไหม้กับอะไรล่ะ ...อนันตมหาสุญญตา พลุที่จุดในอนันตมหาสุญญตา มันจะมอดไหม้กับอะไร มันก็จบลงในปัจจุบัน

ขันธ์ก็อยู่ในปัจจุบัน แล้วก็จบในปัจจุบัน ไม่มีเราอดีต ไม่มีเราปัจจุบัน แล้วก็ไม่มีเราในอนาคต ไม่มีขันธ์ในอดีต ไม่มีขันธ์ในปัจจุบัน แล้วก็ไม่มีขันธ์ในอนาคต ...นั่นแหละพระอรหันต์

ไม่ใช่ท่านไม่มีความคิด ท่านไม่มีอารมณ์ ท่านไม่มีความรู้สึก มี...เท่านั้น ...แต่ความคิดความรู้สึกท่าน ไม่มีใครเป็นผู้รับ ไม่มีใครเป็นผู้เสวย เป็นอย่างนั้น


โยม –  ความรู้สึกท่านไม่ถึงใจหรือ

พระอาจารย์ –  มันไม่มีใจให้ถึง ...ที่พวกเราถึงใจเพราะอะไร เพราะใจมันผุดลูกโป่งขึ้นมา มันก็ถึงสิ ...แต่ถ้าไม่มีลูกโป่งก็ไม่มีใจ ถ้าไม่มีลูกโป่งหุ้มใจ หุ้มน้ำไว้ ถามว่าจะหาน้ำเจอมั้ย


โยม –  ไม่เจอ

พระอาจารย์ –  เออ มันมีที่ตั้งไหม มันมีสัณฐานไหม มันมีที่อยู่ที่ประมาณไหม ไม่มีนะ รูปพรรณสัณฐานของน้ำไม่มีนะ นั่นแหละคืออนันตมหาสุญญตา

แต่ถ้าเข้าถึงใจเมื่อไหร่ ก็หมายความว่าใจดวงนั้นยังถูกห่อหุ้มอยู่ ด้วยอาสวะ ยังถูกขัง ...ก็ยังเป็นผู้รู้ ก็แค่ผู้รู้


โยม –  เพราะฉะนั้น ผู้รู้ๆ ที่พูดกันทุกวันนี้ เราคงต้องเห็น ก็ยังไม่เห็นตัวนี้

พระอาจารย์ –  ไม่เห็นหรอก ยัง ...มันก็เข้าไป...บอกแล้วว่า ในวิถีแห่งมรรค ในวิถีแห่งอริยมรรค อริยผลนี่ จะเห็นใจ ๔ ครั้ง อเนกชาตินี่ จะเห็นใจ ๔ ครั้ง

ครั้งที่ ๔ ไม่เห็นอีกแล้ว ไม่เห็นแล้ว เพราะไม่มีใจเหลืออีกแล้ว มันเป็นธรรมชาติที่เป็นอนันตมหาสุญญตาแล้ว เป็นธรรมชาติที่ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่เกิด ไม่มีที่หมาย

เป็นอมตะธาตุ อมตะธรรมที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ...เป็นภาวะที่เกินบัญญัติสมมุติ เหนือบัญญัติ เหนือสมมุติ เหนือโลก เหนือธรรม

เพราะนั้นจะอธิบายยังไง...ไม่มีทาง มันเป็นแค่คำพูด มันเป็นแค่สมมุติภาษา แสนคำล้านคำจะเรียบเรียงรายละเอียดขนาดไหนก็ไม่มีทางหาความหมายนี้ได้

เพราะมันเหนือบัญญัติ เหนือสมมุติ ...เพราะนั้นก็ได้แค่เลียบเคียงเท่านั้นเอง ภาวะจริงๆ ไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ เป็นปัจจัตตังจริงๆ

เพราะนั้นหน้าที่ของพวกเราก็ต้องทำตามหน้าที่ไป คือชำระ...ชำระขัดเกลาสิ่งที่ห่อหุ้มใจคือจิตผู้ไม่รู้

การชำระขัดเกลาจิตผู้ไม่รู้ก็คือไม่ตามมัน ไม่เชื่อมัน ไม่อาศัยมัน ไม่เอามันเป็นที่พึ่ง ไม่เอามันเป็นตัวชี้นำ ...แค่นั้นแหละคือการชำระแล้ว ชำระจิตผู้ไม่รู้

เมื่อชำระจิตผู้ไม่รู้แล้วอยู่ที่ไหน ...อยู่กับผู้รู้ไว้ก่อน ยังไงก็ต้องอยู่ที่ผู้รู้  ยังอยู่ที่ใจไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จักใจหรอก แต่ว่าอนุมานประมาณว่าเหมือนกับผู้รู้นั่นแหละใกล้เคียงที่สุดกับใจแล้ว

ไม่มีอะไรใกล้ใจถึงกับใจมากกว่าผู้รู้แล้ว แล้ววันดีคืนดีปึ๊บ ...มันก็แวบเข้าไปถึงสภาวะใจ อ้อ เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว ปึ้ง แล้วก็ขึ้นมา กลับมาเป็นผู้รู้ผู้เห็น

กลับมาเป็นใจเป็นสัตว์เป็นบุคคลอยู่ ก็เลยว่าผู้รู้  …ผู้รู้ก็บอกอยู่แล้วว่า “ผู้” คือ person คือบุคคล ยังมีบุคคลผู้รู้อยู่ แต่อยู่ตรงนั้นที่เดียวแหละ ใช้ได้


โยม –  ทีนี้อาการที่เราเห็นว่าผู้รู้ไปรู้ล่ะคะ

พระอาจารย์ –  ยัง


โยม –  แต่ตอนที่รู้นี่คือรู้แล้วปล่อยๆๆ

พระอาจารย์ –  ก็เห็นไปปล่อยไป ไม่ได้ยึดผู้รู้ ผู้รู้มันก็เกิดขึ้นดับไป


โยม –  แล้วใจที่ว่านี่คือใจที่เป็นนิพพานธาตุ

พระอาจารย์ –  ใช่ คือสภาวะใจที่แท้จริง มันจะเข้าไปเห็นสภาวะใจที่แท้จริง ต่อเมื่อเข้าไปเป็นมรรคสมังคี เห็นแค่ขณะเดียว เป็นนิโรธธาตุนิโรธธรรมครั้งเดียว ขณะเดียว

จะพอ-ไม่พอไม่รู้ล่ะ มันเป็นไปตามกำลัง แล้วมันเป็นไปตามลำดับขั้นของมัน คือมันชำระได้ระนาบหนึ่ง เลเวลหนึ่งของมันนี่ มันก็จะเข้าไปเห็น แล้วมันจะเคลียร์เปลือกนั้นออกไป

มันก็จะไปเห็นทีหนึ่ง เห็นสภาวะใจที่หนึ่ง แวบหนึ่ง ขณะหนึ่ง เห็นความโล่งแจ้ง ความว่างเปล่า เห็นความไม่มีประมาณของสภาวะใจ แล้วก็กลับคืนรวมตัวกันใหม่ เป็นผู้รู้เปล่าๆ เฉยๆ

แต่ไอ้ตัวผู้รู้เปล่าๆ ผู้รู้เฉยๆ นั่นก็ยังคืออาสวะหุ้มเต็มๆ มันยังคืออาสวะหนึ่ง ตัวผู้รู้ ก็เหมือนกับลูกโป่งกับน้ำอย่างที่ว่า มันเป็นความบริสุทธิ์ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่บริสุทธิ์หมดจด


โยม –  เพราะว่ามันก็ยังมีจิตที่มีความเป็นตัวเราอยู่ในนั้น

พระอาจารย์ –  มีความเป็นบุคคลในจิต ถึงไม่รู้สึกว่าเป็น “เรา” ก็มีความรู้สึกเป็นบุคคล ความเป็น “ผู้” ที่รู้ ...แรกๆ มันอาจจะเป็น “เรารู้” ต่อไปก็เป็น “ผู้รู้” แล้วต่อไปก็รู้เฉยๆ

พอหมดสิ้นที่จะรู้แล้วก็ไม่ต้องรู้อะไรแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีสติ ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปรู้อะไร ...เพราะมันไม่เห็นจะต้องไปรู้อะไร เพราะไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องรู้

เพราะไม่มีอะไรให้รู้ จะไปรู้อะไร จะไปรู้ทำไม เพราะมันไม่มีอะไร ...ไอ้ที่เห็นน่ะมันเห็น แต่มันไม่มีอะไรในสิ่งที่มันเห็น มันจะไปรู้อะไรล่ะ

นั่นแหละ มันก็คือธรรมชาติอย่างนั้น ไม่ต้องมีสติมาคอยระวังว่าจะไปมีอาการไปหมายมั่นกับอะไร จะไปมียินดียินร้ายกับอะไร ก็มันไม่มีอะไร

มันจะไปรู้ทำไม มันไม่ได้สนใจเลยจะรู้อะไรหรือไม่รู้อะไร ...นั่นแหละมันก็หมดหน้าที่ของการที่จะรักษาสติเจริญสติ รักษามรรคเจริญมรรค

ก็มันเห็นแล้วมันไม่มีอะไร ในสามโลกธาตุนี้ สูญเปล่า สูญว่าง สุญญตา สูญจากความเป็นตัวตน สูญจากความเป็นสัตว์บุคคล สูญจากความหมาย สูญจากบัญญัติ สมมุติ ไม่มีอะไรจริงเลย

มันเหมือนอากาศธาตุ ไม่เห็นจะต้องไปเรียนรู้มันอีก ไม่เห็นจะต้องไปกลัวว่าจะไปยินดียินร้ายกับมัน จะไปยินดียินร้ายอะไรกับลม ยินดียินร้ายอะไรกับอากาศ ใช่มั้ย มันไม่มี ...นี่พระอรหันต์

แต่อาการก็มีไปตามปกติของสมมุติ มีไปอย่างนั้นน่ะ แต่ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรเลย ด่าๆๆๆ พูดๆๆๆ เสร็จ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันไม่มีตัวเราตอนนี้ ไม่มีตัวเราข้างหน้า...ไม่มี

คำว่าไม่มี “ตัวเรา” มันไม่ใช่ตัวเราปัจจุบัน ตัวเราในอดีตก็ไม่มี ไอ้ตัวที่เมื่อกี้ทำอะไรอยู่ก็ไม่มีตัวเรา มันดับไปแล้ว เป็นเรื่องของขันธ์ที่ดับไปแล้ว ตัวเราก็ไม่มี ขันธ์ก็ไม่มี มันดับไปแล้ว

เคยพูด เมื่อกี้พูด เคยด่า เมื่อกี้ด่า มันไม่มีตัวเราเชื่อมมาถึงตัวนี้เลย เห็นมั้ย อยู่อย่างนี้ มหัศจรรย์ ประหลาด ไม่เหมือนมนุษย์ ...แต่เป็นมนุษย์ที่แท้จริง เป็นอย่างนั้น

แต่พวกเรานี่มันข้ามภพข้ามชาติ มันจบจากนี่แล้วมันยังเชื่อว่าตัวเราเมื่อกี้เคยทำอะไรมา ยังมีตัวเราในอดีตอยู่นะ ถ้าเราอยู่นี่ เดี๋ยวตัวเราข้างหน้าจะเจออะไร ใช่มั้ย

จิตมันเชื่อมไปหมดเลย มันเชื่อมความน่าจะเป็น สิ่งที่จะเป็น และต้องเป็น ความเที่ยงของตัวเรา ความยืดยาวของขันธ์ถ้าละ “เรา” น่ะ มันละหมดทั้งอดีตอนาคต

เพราะนั้นจะละอดีต ละอนาคตนี่ ต้องมายึดมั่นถือมั่น ตั้งมั่น จริงๆ คือไม่ได้ยึดมั่น คือตั้งมั่นน่ะ ไอ้คำว่าตั้งมั่นหรือสมาธิ ก็คือว่ายึดมั่นถือมั่นในปัจจุบัน แต่พูดภาษาให้ดีหน่อยก็คือสมาธิจิตตั้งมั่น

มันมั่นกับอะไร...ก็มั่นกับปัจจุบัน ...ไอ้มั่นกับปัจจุบันก็คือยึดมั่น ให้มายึดกับปัจจุบันไว้ก่อน  เมื่อยึดกับปัจจุบันก็จะเห็นอดีตไม่มี อนาคตไม่มี แต่มีแค่ปัจจุบัน


โยม –  ต้องปล่อยปัจจุบัน

พระอาจารย์ –  เดี๋ยวมันก็เห็นเองว่าปัจจุบันก็ไม่มี ใช่มั้ย นั่งอยู่นี่ เดี๋ยวขยับ ไอ้เมื่อกี้ไปไหนล่ะ ...อย่างนั่งอยู่บนรถ ตัวในรถไปไหนล่ะ ปัจจุบันมันก็ดับ มันก็เห็นว่าปัจจุบันก็ไม่มี

แต่ถ้าไม่อยู่อย่างปัจจุบันมาก่อนนี่ มันไม่เห็นเลยว่าอะไรมีหรือไม่มี ...มีหมด อนาคต อดีต เป็นเรื่องเรา ตัวเรา ยังคงอยู่ตลอดเวลา เชื่อมโยงกันอยู่ ...มันปิดบังครอบงำ

ความเป็นจริงนี่มันมีแค่ขณะหนึ่งแล้วก็ดับไป ...ขันธ์นี่ เป็นอะไรลอยๆ กายนี่มันเป็นแค่ความรู้สึกลอยๆ ...ดูดีๆ ถ้าดูอยู่กับปัจจุบันนี่ จะให้ว่ากายเป็นอะไรที่รู้สึกขึ้นมาลอยๆ แค่นั้นเอง ในปัจจุบัน

ไม่มีราคาเลย ไม่มีป้ายราคาติด มันไม่มีค่าไม่มีราคาเลย เป็นอะไรลอยๆ อยู่  แล้วก็มีรู้ลอยๆ กับมันอยู่...สองอย่างคู่กันอยู่อย่างนั้น ...ถ้าอยู่ปัจจุบันจริงๆ มันจะเห็นอย่างนั้น

แล้วจากนั้นไป มันก็จะสำเหนียกถึงความว่า...อ๋อ ไอ้ที่เห็นนี่แป๊บนึง ไอ้ที่เห็นนี่เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็เปลี่ยน เดี๋ยวก็เกิดขึ้นมาใหม่ สุดท้ายก็หายไป ไอ้ปัจจุบันเนี้ย

มันก็เริ่มหาสาระแก่นสารไม่ได้ในขันธ์แล้ว มันเริ่มหาความเป็นสาระแก่นสารไม่ได้

แต่ถ้าพูดถึงสาระตอนนี้นะ เต็มไปหมด จิตที่มันบอกว่าไอ้นั่นก็ยังมี ไอ้นี่ก็เรื่องของเรา ไอ้นั่นก็เรื่องของเขา ไอ้นี่มันก็ยังเกี่ยวกับเรา ไอ้นั่นก็ยังเป็นอยู่ มันมีสาระเป็นแก่นเป็นสารไปหมดเลย


(ต่อแทร็ก 8/36  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น